Pages

Sunday, December 4, 2011

The Human Centipede II (Full Sequence) มนุษย์ตะขาบ 2



ไม่รู้ว่าผู้กำกับคนนี้ในหัวแม่งมีอะไรอยู่ถึงได้ทำหนังห่าเหวขนาดนี้ออกมาได้ หนังเรื่อง The Human Centipede 2 (Full Sequence) หรือมนุษย์ตะขาบภาค 2 (ตอนจบ) ที่บรรเลงเพลงอุบาทว์ สานต่อ The Human Centipede (First Sequence) มนุษย์ตะขาบภาคต้นได้อย่างน่าอาเจียนใส่เป็นที่สุด ใครเคยดูภาคแรกแล้วคิดจะดูภาคสองต่อผมขอเตือนด้วยความหวังดีว่า ภาคนี้มันไม่ละมุนละไมเหมือนภาคแรกหรอกนะ



ภาคแรกเล่าถึงคนดวงซวย 3 คนหญิงสองชายหนึ่งที่หลงไปเจอกับหมอกรามเหลี่ยมที่เหมือนใครบางคน มีความใฝ่ฝันอยากที่จะทำตะขาบด้วยคนเป็นๆ!! วิธีการทำที่หมอได้ฉายสไลด์ให้ชมคือ จับคนมาผ่าตัดให้ปากไปติดกับตูด ทำให้ระบบขับถ่ายของทั้งสามเป็นระบบเดียวกัน และตัดลูกสะบ้าที่เข่าออก (ชื่อในสไลด์ดันเสือกเป็นชื่อ Siamese Tripled ซะอีก เวร!) อธิบายภาพให้ลึกขึ้นคือมีคนมีคุกเข่าเป็นแถวตอนเรียงหนึ่งโดยที่ปากของคนที่ 2 ติดกับตูดคนที่ 1 และปากของคนที่ 3 ติดกับตูดของคนที่ 2 ไม่ต้องเป็นถึงผู้ใหญ่หรือกำนัน เด็กอนุบาลสองก็คิดได้ว่า หากคนแรกเกิดปวดท้องขี้ขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น!!!

ภาคแรกจัดว่าเป็นการทดลองแนวคิดซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในการทำให้คนดูขยักขย่อนจนอยากจะคายข้าวขาหมูทิ้ง ในเรื่องจะไม่มีฉากให้เห็นอุนจิ หรือควักตับไตออกมาแกว่งไกวหลอกหลอนคนดู แต่การใช้เสียง สีหน้า และความสามารถในการให้คนดูจินตนาการถึงเหตุการณ์ต่อไปหลังจากได้ยินเสียงกรอดๆในลำไส้ใหญ่ของคนหัวแถว ผมถือว่าภาคแรกนำเสนอแนวคิดได้ประสบความสำเร็จโดยที่ไม่มีฉากแหวะมากมายเกินไปนัก หนังโหดที่ไม่ใช้เอฟเฟคทำให้น่ากลัว แต่กลับสยดสยอง ชวนกระอักกระอ่วน นับว่าเป็นหนังโหดระดับคลาสิคเลยทีเดียว



ภาคสองไม่ใช่อย่างนั้น
ไม่รู้ว่านาย Tom Six ผู้กำกับเกิดนึกเฮี้ยนอะไรขึ้นมา หรือไปโดนขา Gore เป่าหูมาก็ไม่ทราบได้ เลยจัดหนักกับภาคสองที่ชื่อหนังห้อยท้ายด้วย "Full Sequence" ราวกับบอกเป็นนัยยะว่า "ภาคนี่กูมาเต็มนะเมิง.." หนังนำเสนอเรื่องราวของชายคนหนึ่งชื่อมาร์ตินทำงานเป็น รปภ.อยู่ที่สนง.แห่งหนึ่งมาร์ตินแกชอบดูหนังเรื่อง The Human Centipede (First Sequence) มากๆ (อีตา Tom six แกจับเอาหนังภาคหนึ่งเข้าไปอยู่ในหนังภาคสองซะงั้น) ถึงขั้นเป็นแฟนพันธุ์แท้ก็ไม่ผิดนัก คลั่งไคล้ถึงขนาดเก็บสะสมรูปในหนังจนเต็มสมุด มาร์ตินอาศัยอยู่กับแม่ที่ดูจะเป็นโรคจิตอ่อนๆ ชอบดุด่ามาร์ตินเป็นประจำ จนถึงขนาดแอบลอบฆ่ามาร์ตินก็มี!!

เรื่องแตกหักเกิดขึ้นเมื่อแม่เกิดไปเจอสมุดเก็บสะสมภาพในหนัง ทำให้แม่โมโหไล่มาร์ตินออกจากบ้าน รวมถึงฉีกสมุดทิ้งเป็นชิ้นๆ ราวกับหัวใจมาร์ตินแตกสลาย สิ่งที่เก็บกดทั้งหมดทั้งมวลจึงระเบิดออกมา จากเรื่องในหนังจึงเกิดกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา มาร์ตินทำมาตุฆาตด้วยความโกรธแค้น (สภาพศพอนาถมาก) รวมถึงไอ้บ้านาซีที่ชอบทำร้ายทุบตีมาร์ตินและแม่ลงมาเห็นจึงตกเป็นเหยื่อไปด้วยอีกคน ถึงนาทีนี้มาร์ตินสติแตก 100% เก็บสะสมเหยื่อทีละคนสองคนเพื่อมาทำสิ่งที่ตัวเองคิดมาตลอดคือ ทำมนุษย์ตะขาบให้ยิ่งใหญ่กว่าในหนัง!!!

จำนวนเหยื่อที่จะเอามาสร้างตะขาบของมาร์ตินมีถึง 12 คน!! จากที่ภาคแรกมี 3 คน ทั้งคนดำ คนท้อง ผู้หญิง ผู้ชาย หนึ่งในนั้นคือนักแสดงสาวในหนังภาคแรกที่มาร์ตินไปหลอกมาเพื่อให้เธอเป็นมนุษย์ตะขาบของจริง!



เรื่องดำเนินเนิบนาบ ต่อนยอน ต๊ะ ต่อนยอน มาเรื่อยจนหนังเกือบจบ จึงมีบุญได้เห็นมนุษย์ตะขาบตัวเป็นๆที่ Tom Six ภูมิใจนำเสนอเสียที กว่าจะได้ตะขาบตัวนี้มาร์ตินต้องเสียปล้องคนไปถึงสองปล้องจากการผ่าตัดที่ไม่ประสบความสำเร็จ การเสียเลือดมากทำให้เหยื่อช็อกและเสียชีวิต มาร์ตินจึงหาวิธีใหม่เพื่อจะเชื่อมคนทั้ง 10 คนเข้าด้วยกัน โดยวิธีนั้นถือเป็นฉากเด็ดฉากหนึ่งที่ห้ามพลาด เพื่อให้คนดูไม่นั่งสัปหงก นาย Tom Six ที่ได้ร่วมมือกับมาร์ตินผลิตความสยอง และอุบาทว์มาแบบไม่ยั้ง อาทิ มาร์ตินไปฉีดยาถ่ายให้กับทุกคนที่เชื่อมติดกัน หลังจากนั้นคงไม่ต้องบรรยาย ฉากคนท้องคลอดลูกแบบจะๆ ฉากปล้องมนุษย์พยายามเอาปากออกจากตูดให้ได้ (เชี่ย!)

สรุปรวมความว่าภาคสองนี้ไม่ได้ให้อะไรแปลกใหม่ไปมากกว่าฉากสยองที่ดูจะเน้นตรงนี้มากกว่าไอเดียอย่างที่ภาคแรกทำ คะแนนที่ IMDB ได้ไป 2 คะแนนเต็มสิบ จากคนโหวตเกือบ 3,000 คน คะแนนนั้นคงได้มาจากการใช้เอฟเฟคได้อย่างสมจริง นักแสดงอย่าง Laurence R. Harvey ที่รับบทมาร์ตินได้สมบทบาทเรียกได้ว่าเขาคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ นอกจากนั้นไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ส่วนคนที่ชอบเสพงานแบบนี้ผมว่าคงสาแก่ใจกันไปบ้างไม่มากไม่น้อย ดูจบคงซู้ดปากกันเป็นแถว หวังอย่างหนึ่งว่าภาคสามที่คาดว่าจะมีแน่ๆภายในปีสองปีนี้ คงไม่เพิ่มจำนวนตะขาบเป็น 99 คนหรอกนะ

อย่างนั้นมันน่าเบื่อออก









Wednesday, November 23, 2011

Life in a Day (2011) - ช่วงชีวิต




วันนี้จะมาแบบ "มาเร็ว เคลมเร็ว" ด้วยอารมณ์ที่ยังไม่อยากจะเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไว้อารมณ์ดีกว่านี้จะเอาหนังป่วยๆมาให้เสพกันอีก



หนังเรื่องที่จะเอามาแนะนำกันแบบปัจจุบันทันด่วนคือเรื่อง "Life in a Day" หนังเรื่องนี้มีผู้ตัดต่อสองคน คือ Ridley Scott (ผู้กำกับ Alien และ Gladiator) และ Kevin Macdonald (ผู้กำกับ The Last King of Scotland) ส่วนผู้กำกับคือ คุณ!! ... คุณนั่นแหละไม่ต้องหันไปไหน

โปรเจคสุดสร้างสรรค์นี้เกิดจากการที่ Youtube ได้เชื้อเชิญให้คนจากทุกมุมโลกส่งคลิปเข้ามาร่วมสนุกเพื่อทำเป็นหนังสารคดีเล่าเรื่องราวของคนในอีกฟากโลกว่าในวันที่แสนธรรมดาอย่าง 24 กรกฎาคม 2553 มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง จากนั้นจึงให้ผู้กำกับทั้งสองตัดต่อจนออกมาเป็นหนังที่สร้างสรรค์ เพลงเพราะ และสะท้อนภาพกว้างที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนความเป็นไปของโลกใบนี้

หนังตัดต่อได้อย่างเฉียบ+เนี้ยบ สมชื่อผู้กำกับที่กล่าวมาข้างต้น มีการเรียงร้อยภาพจากคลิปให้เป็นเหตุการณ์จำเพาะที่บางเรื่องดูธรรมดาและบางเรื่องน่าสนใจสุดๆ เช่นการเกิด ตื่น ทำกับข้าว กิน เล่น ป่วย เด็ก สารภาพ ทำงาน เดินทาง รวย จน รวมถึงความตายที่หลายคนที่ได้ดูฉากจบแล้วต้องไปคิดต่อว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น




Thanks blognone.com for movie info and PO YOKEE for inspiration.

Tuesday, October 11, 2011

Aftermath โคตรพ่อโคตรแม่ SAW


"อย่ากินข้าวก่อนดูหนังเรื่องนี้ 2 ชั่วโมง"

ถ้อยคำประหนึ่งการท้าทายประสมคำเชื้อเชิญที่ทำให้ใครหลายคนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ว่ามันมีอะไรถึงต้องไม่ให้เราดูก่อนรับประทานอาหาร หรือเป็นเพียงกลยุทธทางการตลาดเพื่อโปรโมทหนังให้น่าดู และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น Aftermath (1994) เป็นผลงานการกำกับสุดสยองของ Nacho Cerdà ผู้กำกับชาวสเปนที่พาคนดูไปเป็นพยานสำคัญในการประกอบพฤติกรรมสุดเพี้ยน และน่าอาเจียนใส่เป็นที่สุด ในบรรดาการจัดอันดับหนังสยองต้องห้าม มักจะมีหนังเรื่องนี้ติดโผอยู่ทุกๆครั้งไป แถมยังได้ชื่อภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการว่า "โคตรพ่อโคตรแม่ SAW" หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในไตรภาคซึ่งประกอบด้วย birth (The Awakening, 1990), death (Aftermath, 1994) และ rebirth (Genesis, 1998)

ก่อนและขณะที่เขียนบทความนี้ ผมได้อ่านถึงเรื่องราวของการเป็น "กามวิตถาร" (Paraphilias) ในแนวทางของวิชาการ 1 ซึ่งเกี่ยวข้องต่อเนื้อหาของหนังพอสมควร กามวิตถารแบ่งได้หลายประเภทตามอาการ และพฤติกรรมที่ทำให้ตัวเองได้รับความสุขทางเพศ ในทางที่ผิดแผกออกไปจากคนปกติทั่วไป เช่น ชายไทยปกติอย่างเราๆ ดูหนังเอวีของน้องๆทั้งหลายจากญี่ปุ่นก็ได้รับความสุขทางเพศระดับหนึ่ง แต่จะไม่สามารถสะกิดต่อมเสียวของผู้ป่วยเหล่านี้ได้ จึงต้องหาสิ่งเร้าที่พิศดาร หรือแปลกมากๆถึงจะทำให้คนเหล่านี้เกิดความสุขทางเพศขึ้นมาได้บ้าง การเป็นโรคกามวิตถารแบ่งได้หลายอย่าง เช่น

การเกิดอารมณ์ทางเพศจากสิ่งเฉพาะ (Fetishism) วัตถุที่สนใจอาจเป็นชุดชั้นใน, ผ้าอนามัย, รองเท้า ฯลฯ
โรคชอบแต่งกายลักเพศ (Fetishistic transvestism หรือ Transvestic fetishism)
โรคชอบอวดอวัยวะเพศ (Exhibitionism)
โรคถ้ำมอง (Voyeurism)
โรคใคร่เด็ก (Paedophilia)
โรคชอบทารุณ (Sadomasochism)
โรคชอบถูไถ (Frotteurism)
โรคโทรศัพท์ลามก (Telephone scatologia)
โรคกระสันสัตว์ (Zoophilia)
โรคชอบน้ำปัสสาวะ (Urophilia)
โรคชอบอุจจาระ (Coprophilia)
โรคชอบสมสู่กับศพ (Necrophilia)



โรคการมีเพศสัมพันธ์กับศพ (Necrophilia) โรคนี้เกิดจากในวัยเด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆได้ จึงเกิดอาการกลัว มีความไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่ออาการมากล้นจนสุกงอมแล้ว จึงหาทางออกไปในการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับศพ เพราะศพไม่ขัดขืน แสดงอาการคุกคาม ทำให้อาย หรือด่าทอได้ ผู้ป่วยจะมีความตื่นเต้น เกิดเสพติดที่จะต้องสมสู่กับศพคนตายเป็นกิจวัติ และทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ "บางคน" ต้องแสวงหาอาชีพที่จะให้ได้เข้าใกล้กับเป้าหมาย เช่น อาชีพสัปเหร่อ เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ ฯลฯ (อย่าเหมารวมนะครับ ผมหมายถึงบางคนเท่านั้น)

สัปเหร่อคิ้วงามคนหนึ่งกำลังจะผ่าศพผู้ชายที่คาดว่าประสบอุบัติเหตุมา บังเอิญเหลือบไปเห็นอวัยวะเพศชายของศพ (ขอย้ำว่าของเพศชาย) จึงการคิดย้อนกลับช่วงเวลาที่เขาได้เคยได้รับงานผ่าศพของหญิงสาว ไม่ได้ผ่าเปล่านะครับ พี่แกเล่นอุตริหลายๆอย่างกับศพหญิงสาวรายนี้ อาทิ ใช้มีดทำร้ายที่อวัยวะๆหนึ่ง ขึ้นขย่มข่มขืนบนร่างของของศพ (Necrophilia) พร้อมกันนั้นก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ สุดท้ายพี่แกก็นำหัวใจของศพห่อใส่ถุงไปฝากสุนัขที่บ้าน แล้วก็นั่งกระดิกเท้าดูทีวีสบายใจเฉิบ



ต้องยอมรับว่าหนังทำเอฟเฟคของศพได้ค่อนข้างเหมือนกับศพคนจริงๆ รวมถึงอวัยวะต่างๆก็ยังสมจริงจนน่าตกใจ มีเพียงจุดหนึ่งที่ดูขัดๆคือ ตัวศพ (ปลอม) ไม่สามารถนั่งงอตัวได้เหมือนกับคนสร้างจะทำมาเพื่อให้นอนเท่านั้น เวลาจับให้ขยับไปมาจะดูแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาที่ไม่มีข้อต่อ ด้านเนื้อเรื่องรวมถึงการพัฒนาของตัวละครทำได้ค่อนข้างจะคับแคบ ไม่ได้สื่ออะไีรกับคนดูแบบเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้ตลอดครึ่งชั่วโมงของคนดูจะไม่ได้อะไรนอกจากภาพการชำแหละ เศษเครื่องใน และเลือดเท่านั้น ฉากดุจริงๆของหนังมีเพียงไม่กี่วินาทีซึ่งนับว่าน้อยมาก ดูเหมือนจะเซ็นเซอร์ตัวเองมากจนเกินงาม หากเทียบคุณภาพความสยองกับหนังรุ่นน้องอย่าง SAW ผมคิดว่า SAW ทำดีกว่าด้วยซ้ำไม่ว่าจะด้านเรื่องราว ฉากโหดสมจริง และความกดดันอันน่าตื่นเต้น

ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็น "โคตรพ่อโคตรแม่ SAW" ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก

1. ข้อมูลจาก บทความพิเศษ: "โรครักศพ" โดยนายแพทย์เกษม ตันติผลาชีวะ ที่เขียนอย่างได้สาระ และขบขันอย่างยิ่ง อ่าน