Pages

Tuesday, October 11, 2011

Aftermath โคตรพ่อโคตรแม่ SAW


"อย่ากินข้าวก่อนดูหนังเรื่องนี้ 2 ชั่วโมง"

ถ้อยคำประหนึ่งการท้าทายประสมคำเชื้อเชิญที่ทำให้ใครหลายคนสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ว่ามันมีอะไรถึงต้องไม่ให้เราดูก่อนรับประทานอาหาร หรือเป็นเพียงกลยุทธทางการตลาดเพื่อโปรโมทหนังให้น่าดู และน่าติดตามมากยิ่งขึ้น Aftermath (1994) เป็นผลงานการกำกับสุดสยองของ Nacho Cerdà ผู้กำกับชาวสเปนที่พาคนดูไปเป็นพยานสำคัญในการประกอบพฤติกรรมสุดเพี้ยน และน่าอาเจียนใส่เป็นที่สุด ในบรรดาการจัดอันดับหนังสยองต้องห้าม มักจะมีหนังเรื่องนี้ติดโผอยู่ทุกๆครั้งไป แถมยังได้ชื่อภาษาไทยอย่างไม่เป็นทางการว่า "โคตรพ่อโคตรแม่ SAW" หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในไตรภาคซึ่งประกอบด้วย birth (The Awakening, 1990), death (Aftermath, 1994) และ rebirth (Genesis, 1998)

ก่อนและขณะที่เขียนบทความนี้ ผมได้อ่านถึงเรื่องราวของการเป็น "กามวิตถาร" (Paraphilias) ในแนวทางของวิชาการ 1 ซึ่งเกี่ยวข้องต่อเนื้อหาของหนังพอสมควร กามวิตถารแบ่งได้หลายประเภทตามอาการ และพฤติกรรมที่ทำให้ตัวเองได้รับความสุขทางเพศ ในทางที่ผิดแผกออกไปจากคนปกติทั่วไป เช่น ชายไทยปกติอย่างเราๆ ดูหนังเอวีของน้องๆทั้งหลายจากญี่ปุ่นก็ได้รับความสุขทางเพศระดับหนึ่ง แต่จะไม่สามารถสะกิดต่อมเสียวของผู้ป่วยเหล่านี้ได้ จึงต้องหาสิ่งเร้าที่พิศดาร หรือแปลกมากๆถึงจะทำให้คนเหล่านี้เกิดความสุขทางเพศขึ้นมาได้บ้าง การเป็นโรคกามวิตถารแบ่งได้หลายอย่าง เช่น

การเกิดอารมณ์ทางเพศจากสิ่งเฉพาะ (Fetishism) วัตถุที่สนใจอาจเป็นชุดชั้นใน, ผ้าอนามัย, รองเท้า ฯลฯ
โรคชอบแต่งกายลักเพศ (Fetishistic transvestism หรือ Transvestic fetishism)
โรคชอบอวดอวัยวะเพศ (Exhibitionism)
โรคถ้ำมอง (Voyeurism)
โรคใคร่เด็ก (Paedophilia)
โรคชอบทารุณ (Sadomasochism)
โรคชอบถูไถ (Frotteurism)
โรคโทรศัพท์ลามก (Telephone scatologia)
โรคกระสันสัตว์ (Zoophilia)
โรคชอบน้ำปัสสาวะ (Urophilia)
โรคชอบอุจจาระ (Coprophilia)
โรคชอบสมสู่กับศพ (Necrophilia)



โรคการมีเพศสัมพันธ์กับศพ (Necrophilia) โรคนี้เกิดจากในวัยเด็กที่ไม่สามารถพัฒนาความสัมพันธ์กับคนอื่นๆได้ จึงเกิดอาการกลัว มีความไม่มั่นใจในตัวเอง เมื่ออาการมากล้นจนสุกงอมแล้ว จึงหาทางออกไปในการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับศพ เพราะศพไม่ขัดขืน แสดงอาการคุกคาม ทำให้อาย หรือด่าทอได้ ผู้ป่วยจะมีความตื่นเต้น เกิดเสพติดที่จะต้องสมสู่กับศพคนตายเป็นกิจวัติ และทำให้ผู้ป่วยเหล่านี้ "บางคน" ต้องแสวงหาอาชีพที่จะให้ได้เข้าใกล้กับเป้าหมาย เช่น อาชีพสัปเหร่อ เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพ ฯลฯ (อย่าเหมารวมนะครับ ผมหมายถึงบางคนเท่านั้น)

สัปเหร่อคิ้วงามคนหนึ่งกำลังจะผ่าศพผู้ชายที่คาดว่าประสบอุบัติเหตุมา บังเอิญเหลือบไปเห็นอวัยวะเพศชายของศพ (ขอย้ำว่าของเพศชาย) จึงการคิดย้อนกลับช่วงเวลาที่เขาได้เคยได้รับงานผ่าศพของหญิงสาว ไม่ได้ผ่าเปล่านะครับ พี่แกเล่นอุตริหลายๆอย่างกับศพหญิงสาวรายนี้ อาทิ ใช้มีดทำร้ายที่อวัยวะๆหนึ่ง ขึ้นขย่มข่มขืนบนร่างของของศพ (Necrophilia) พร้อมกันนั้นก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ สุดท้ายพี่แกก็นำหัวใจของศพห่อใส่ถุงไปฝากสุนัขที่บ้าน แล้วก็นั่งกระดิกเท้าดูทีวีสบายใจเฉิบ



ต้องยอมรับว่าหนังทำเอฟเฟคของศพได้ค่อนข้างเหมือนกับศพคนจริงๆ รวมถึงอวัยวะต่างๆก็ยังสมจริงจนน่าตกใจ มีเพียงจุดหนึ่งที่ดูขัดๆคือ ตัวศพ (ปลอม) ไม่สามารถนั่งงอตัวได้เหมือนกับคนสร้างจะทำมาเพื่อให้นอนเท่านั้น เวลาจับให้ขยับไปมาจะดูแข็งทื่อเหมือนตุ๊กตาที่ไม่มีข้อต่อ ด้านเนื้อเรื่องรวมถึงการพัฒนาของตัวละครทำได้ค่อนข้างจะคับแคบ ไม่ได้สื่ออะไีรกับคนดูแบบเป็นชิ้นเป็นอัน ทำให้ตลอดครึ่งชั่วโมงของคนดูจะไม่ได้อะไรนอกจากภาพการชำแหละ เศษเครื่องใน และเลือดเท่านั้น ฉากดุจริงๆของหนังมีเพียงไม่กี่วินาทีซึ่งนับว่าน้อยมาก ดูเหมือนจะเซ็นเซอร์ตัวเองมากจนเกินงาม หากเทียบคุณภาพความสยองกับหนังรุ่นน้องอย่าง SAW ผมคิดว่า SAW ทำดีกว่าด้วยซ้ำไม่ว่าจะด้านเรื่องราว ฉากโหดสมจริง และความกดดันอันน่าตื่นเต้น

ที่บอกว่าหนังเรื่องนี้เป็น "โคตรพ่อโคตรแม่ SAW" ผมคงพูดได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก

1. ข้อมูลจาก บทความพิเศษ: "โรครักศพ" โดยนายแพทย์เกษม ตันติผลาชีวะ ที่เขียนอย่างได้สาระ และขบขันอย่างยิ่ง อ่าน

Friday, October 7, 2011

Mum & Dad พ่อแม่รังแกฉัน



Mum & Dad (2008) หนังสัญชาติอังกฤษที่กำกับโดย Steven Sheil คนทำหนังสารคดีที่จับพลัดจับผลูอย่างไรมิทราบมาทำหนังดุกับเขาด้วย หนังพาเราไปทำความรู้จักกับ ลีน่า (รับบทโดย Olga Fedori นักแสดงสาวชาวยูเครน หน้าตาละม้ายกับไบรโอนี่ตอนสาวๆ) เป็นพนักงานทำความสะอาดที่สนามบิน หลงไปทำความรู้จักกับ เบอร์ดี้ เพื่อนร่วมงานจอมจ้อที่ผูกมิตรกับเธออย่างรวดเร็ว และเอลบี้พี่ชายของเบอดี้ที่เซื่องซึมเหมือนคนเมากาว พฤติกรรมที่ทำให้ลีน่าประหลาดใจคือการที่เบอร์ดี้เก็บวิทยุซาวน์อเบาท์ได้แถวโต๊ะของพนักงานแล้วเก็บเข้ากระเป๋าหน้าตาเฉย และรอยกรีดที่ข้อมือหลายๆแผลของเบอร์ดี้ที่เธอบอกว่า "ชั้นชอบทำร้ายตัวเองน่ะ ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว"

ลีน่าต้องกลับรถเที่ยวสุดท้ายให้ทันแต่เหมือนโดนแกล้ง เบอร์ดี้ทำเป็นลืมของแล้วฝากสิ่งต่างๆให้ลีน่าถือจนลีน่าตกรถเที่ยวสุดท้ายที่จะกลับลอนดอน จากนั้นเบอร์ดี้ก็ชวนลีน่าไปที่บ้านเพื่อหาอะไรกินเป็นการไถ่โทษที่ทำให้ตกรถ ลีน่าปฏิเสธหลายครั้ง แต่ก็ทนการรบเร้าไม่ไหว ตกลงตามเบอร์ดี้ และเอลบี้ไปที่บ้านของเธอที่อยู่ติดกับรันเวย์สนามบิน พอเข้ามาเอลบี้ก็จัดการล็อกกลอนประตูแล้วผลุบหายไปอีกห้อง ปล่อยให้ลีน่ายืนงงเป็นไก่ตาแตกอยู่กลางห้องนั่งเล่นคนเดียว เธอเดินสำรวจบ้านท่ามกลางแสงสลัวไม่นานก็โดนไอ้อ้วนแว่นหนาคนหนึ่งพุ่งออกมาจากมุมมืด ตีที่หัวแล้วจัดการเสือกเข็มฉึดยาเข้าไปที่คอของเธอ - จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง



เธอตื่นมาอีกครั้งก็พบกับไอ้อ้วนแว่นหนาคนเดิมที่ไม่เหมือนเดิมตรงที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดพร้อมกับถืออาวุธในมือ เบื้องหลังมันมีศพผู้หญิงคนหนึ่งนอนอยู่ซึ่งคาดว่าคงโดนมันสำเร็จโทษแล้วแน่ๆ หญิงคนหนึ่งที่เข้ามาปลอบบอกว่าตัวเองเป็นแม่ และเขา (ไอ้อ้วน) คือพ่อ บอกว่าอยู่เฉยๆ อย่าให้พ่อเขาที่กำลังอารมณ์พลุ่งพล่าน เกิดเครียดขึ้นมาเธอจะตกที่นั่งลำบาก ตอนนี้เธอคือลูกสาวของเราแล้ว (ซะงั้น) ลีน่าพยายามจะร้องแต่ร้องไม่ออก คงเพราะแผลที่ถูกเข็มแทงไปที่คอแน่ๆ ยังไม่ทันไรอีแม่โรคจิตไสเข็มฉีดยาเข้าไปรูเดิมที่คอของลีน่า ผลคือลีน่าน็อคไปอีกรอบ ฉากน่าหวาดเสียวที่สุดน่าจะเป็นฉากถัดมาที่คุณแม่จับลีน่าแขวนเอาไว้ แล้วเอาเข็มอันเขื่องแทงเข้าที่หลังของเธอแบบเนาผ้า แถมไม่พอยังกรีดไปมาบนหลังของลีน่าให้เสียเลือดเล่นซะอย่างนั้น หนำซ้ำข้างนอกประตูมีเอลบี้กำลังแอบดู และสำเร็จความใคร่ให้ตัวเองไปด้วย (อี๋) ยังครับยัง ยังไม่พอแค่นั้น คุณแม่จิตเสื่อมลากลีน่าไปหาคุณพ่อแว่นหนาที่กำลังใช้เนื้ออะไรสักอย่าง (คาดว่าเป็นเนื้อคน) นวดกระปู๋ตัวเองอยู่ เมื่อสำเร็จกิจก็ประกาศต่อหน้าลีน่าว่า "ถ้าเธอทำดี เธอจะเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว แต่ถ้าไม่ฉันจะเล่นงานเธอไม่ให้ผุดได้เกิดเลย..."

หนังแสดงถึงความวิปลาสของครอบครัวนี้ในฉากถัดๆไป ซึ่งน่าเสียดายที่ทำได้ไม่ดีนักหากนำไปเทียบกับหนังสยองฝรั่งเศสที่ค่อนข้างรุนแรงทั้งเนื้อหา และภาพกราฟิค การดำเนินเรื่อง Mum & Dad เป็นไปอย่างง่ายๆ ปราศจากความซับซ้อน เป็นไปตามขนบหนังสยองชนิดที่ไม่มีการตั้งคำถาม หรือแหวกม่านประเพณีใดๆออกมาหายใจเลยแม้แต่น้อย ภาพกราฟิคการแต่งหน้าเนียนบ้าง ไม่เนียนบ้าง ดังเช่นตอนที่มีการโชว์หัวที่โดนตัดแล้ว วางหัวไว้เหมือนผีกระสืองานวัดภูเขาทอง เดาได้คือเอาตัวซ่อนไว้ข้างล่างแ้ล้วโผล่หัวขึ้นมา ผมว่าเป็นเทคนิคที่เฉิ่มมากๆ เทคนิคสมัยนี้มีเยอะเป็นกระบุง ตัดต่อทางคอมพิวเตอร์ ใช้หัวปลอมที่ทำจากเลซิ่น หรือขนมปังสยองขวัญบ้านเรา ไหงไปใช้เทคนิครุ่นปู่ได้ก็ไม่รู้ ยิ่งฉากอื่นๆอย่าให้พูดถึงใช้มุมกล้องบังเอายังกับละครหลังข่าว ดูแล้วก็จุ๊ปาก ขัดใจไปทั้งเรื่อง สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มมาดูหนังโหด (Gore Film) เรื่องนี้เป็นเหมือนแบบฝึกหัดชั้นดีเพื่อต่อยอดไปยังเรื่องอื่นๆที่ดีกว่านี้

Wednesday, October 5, 2011

Visitor Q - คนบ้านแตกกับเรื่องแปลกๆของพวกเขา



ผมเคยได้ดูหนังของทาเคชิ มิกิเอะเมื่อหลายปีก่อน จำได้ว่าชื่อเรื่อง Audition ด้วยความที่ไม่รู้จักคุ้นเคยกับผู้กำกับรายนี้ จึงอนุมานว่า Audition น่าจะเป็นหนังดราม่าทั่วไป อาจมีหลอนๆบ้างตามแนวทาง J Horror ที่ได้รับความนิยมในเวลานั้น ที่ไหนได้ Audition เป็นหนังที่ผมต้องจดจำชื่อทาเคชิ มิกิเอะไปอีกนาน ด้วยฉากความสยดสยองที่ทำให้ต้องเกร็งจนติดพนัก ผมภาวนาให้ฉากนรกแตกนั้นผ่านไปโดยเร็ว พลางคิดย้อนไปถึงหนังเรื่อง Dentist ที่มีหมอฟันสติแตก เที่ยวใช้วิชาชีพถอนฟันบน (รวมถึงฟันล่าง) ชาวบ้านเล่น ทั้งสองเรื่องนี้จัดว่ามีสามารถในการทรมานทรกรรมคนดูชนิดไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว

ถ้าไม่นับเรื่อง Ichi the Killer ที่สร้างความโด่งดังให้กับทาเคชิ มิกิเอะแล้วเรื่อง Visitor Q (เรท 18+) ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างชื่อ และก่อความปั่นป่วนให้กับคนดูอย่างถึงที่สุด หนังถ่ายทำด้วยกล้องดิจิตอลวีดีโอธรรมดาชนิดที่คนทั่วไปใช้กัน แทบจะไม่มีการจัดแสงใดๆ รวมถึงใช้ทุนในการสร้างต่ำมาก (ราวๆ 60,000 บาท) Visitor Q จัดเป็นหนังคัลท์ (Cult Film 1) ที่ฉายอาการป่วยในจิตใจมนุษย์ เนื้อเรื่องเต็มไปด้วยตลกร้าย (Black Comedy) รวมถึงใส่ฉากแรงๆอย่าง การข่มขืน การทำร้ายบุพการี และฉากฆาตกรรม แต่กระนั้นหนังก็ได้รับสามรางวัลจาก Fant-Asia Film Festival, Japanese Professional Movie Award (Best Director), Sweden Fantastic Film Festival ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่า หนังอาจไม่ได้มีแต่ความบ้าบอคอแตกอย่างเดียวแน่ๆ



แค่ฉากแรกก็ทำให้คนดูเหวอจากฉากที่พ่อบังเกิดเกล้ากำลังใช้บริการทางเพศกับลูกสาวของตัวเอง ความแรงระดับนี้เป็นเสมือนการเตือนถึงเรื่องราวต่อไปข้างหน้าที่จะต้องใช้วิจารณญาณในการรับชมอย่างถึงที่สุด พ่อ (คิโยชิ) ผู้เป็นนักข่าวทางทีวีกำลังทำสารคดีเรื่องความเหลวแหลกของวัยรุ่นญี่ปุ่น เพื่อกอบกู้อาชีพของเขาที่กำลังจะดิ่งลงเหว แต่กลับไปพบลูกสาวตัวเอง (มิกิ) กำลังขายบริการทางเพศอยู่ แทนที่สำนึกของความเป็นพ่อจะช่วยฉุดลูกสาวออกจากโคลนตม ดันกระโดดลงไปเกลือกกลั้วความชั่วกับลูกสาวด้วย หนำซ้ำยังจ่ายค่าบริการให้กับลูกสาวของตัวเองซะอีก หนังยังทำตลกโดยการให้คิโยชิเป็นพวกนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ตัวลูกสาวเองก็ค่อนแคะถึงเรื่องนี้ให้เป็นที่อับอายต่อลูกตัวเอง โดยที่ผู้เป็นพ่อได้เพียงบอกว่า 'เลิกทำอย่างนี้ได้แล้วลูก'

หนังนำเสนอความเพี้ยนแบบสุดสลดโดยการให้ลูกชาย (ทาคุยะ) ทำร้ายผู้เป็นแม่ราวกับเป็นทาส เพื่อระบายความเก็บกดจากการโดนกลั่นแกล้งของเพื่อนที่โรงเรียน มีฉากไล่ทำร้ายผู้บังเกิดเกล้า เช่นการเตะ ใช้ไม้ตีจนเป็นรอยเขียวช้ำ หรือสาดด้วยน้ำแกงร้อนๆ ผู้เป็นแม่มิได้ตอบโต้ใดๆ มีเพียงร้องบอกว่า "อย่าให้โดนหน้าแม่นะ!" บางครั้งเมื่อทาคุยะเดินลงมาจากข้างบนบ้าน เคอิโกะผู้เป็นแม่ถึงกับต้องทำเป็นหลบหน้าโดยหันหนีไปทางอื่นด้วยอาการหวาดกลัว เคอิโกะต้องหลบไปรักษาแผลที่เกิดจากลูกชายตี และพร้อมกันนั้นเธอหันไปพึ่งเฮโรอีน ที่เป็นทางสายเดียวในการหลบหนีไปจากโลกแห่งความเป็นจริง เคอิโกะก็ไม่ต่างกับลูกสาว เธอขายตัวเพื่อได้เงินมาซื้อยา คนที่มาใช้บริการก็ประหลาดเหลือรับ เล่นให้เธอใช้เข็มขัดตีหลังให้เขาเพื่อความสุขทางเพศ (Masochism) จากที่โดนลูกชายตี งานนี้แหละที่ทำให้เธอได้เป็นคนตีบ้าง



มิกิเอะเล่นกับความเฉยชาในหนังหลายฉาก เช่น เคอิโกะกำลังวิ่งหนีจากการไล่ตีของลูกชาย แต่ "คิว" (ชายแปลกหน้าที่ผู้เป็นพ่อพามาค้างที่บ้านทั้งที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ) ก็ยังนั่งกินข้าวต่อน่าตาเฉย แถมยังบอกทาคุยะ (ลูกชาย) ว่า "ไล่ตีต่อไปสิ" หรือฉากที่คิโยชิเดินไปทำงาน บังเอิญเห็นลูกชายโดนรุมทำร้าย แทนที่จะรีบเข้าไปช่วย กลับคว้ากล้องขึ้นมาถ่ายเหตุการณ์ไว้ หวังเก็บไปเป็นฟุตเตจประกอบสารคดีที่เขาจะกำลังทำ โดยไม่นึกเลยว่าลูกของตัวเองกำลังจมกองตีนอยู่ รวมถึงวันหนึ่งเด็กที่ทำร้ายทาคุยะยิงพลุเข้าไปในบ้าน คิโยชิสติแตกหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเหตุการณ์ไว้โดยแลกกับบ้านที่ไหม้ และมีรูพรุนจากดอกไม้ไฟ เรียกได้ว่าความหนังเรื่องนี้มีแต่เรื่องผิดจริต และต่อต้านสามัญสำนึกของคนปกติ หากมีคนบอกว่าเอาคนบ้ามาเล่นนี่ผมเชื่อเลยนะ

เรื่องป่วยๆยังไม่หมดไม่สิ้น คิโยชิพาสาวที่ทำงานมาลอบดูลูกชายตัวเองถูกกระทืบ โดยคิดแผนว่าให้เธอเข้าไประงับเหตุ แล้วทางเขาจะทำการถ่ายเหตุการณ์ไว้ สาวคนนี้ไม่ทำตามเพราะตัวเองยังจิตปกติเลยขัดขืน ผลปรากฏว่าคิโยชิบันดาลโทษะ พลั้งมือฆ่าเธอตาย คิโยชิกับคิว (ที่ทำหน้าที่ถ่ายวีดีโอ) จึงช่วยกับเอาศพกลับมาที่บ้านโดยคิดที่จะชำแหละแยกเป็นชิ้น และเอาไปทิ้ง ไม่รู้ว่าผีห่าซาตานตนใดเข้าสิง คิโยชิเสือกเกิดกำหนัดขึ้นมาอีตอนที่จะชำแหละ จึงจัดการทำรักกับศพซะอย่างงั้น (กูจะบ้า) ฉากหลังจากนี้ไปมีแต่ความเพี้ยนเหลือกำลัง และตลกร้ายที่เต็มไปด้วยความวิกลจริตล้วนๆ

หนังไม่เพียงตีแผ่เรื่องราวความป่วยหลุดโลกของครอบครัวนี้ แถมยังพาคนดูไปถึงสุดขอบความบ้าที่จะสามารถทำได้ หนังโหดหลายเรื่องนำเสนอเพียงเอฟเฟค การแต่งหน้าให้ดูน่าสยดสยองแต่กลับไม่ได้ให้อะไรกลับมา ผิดกับ Visitor Q ที่ส่งผ่านข้อคิดเรื่องการดูแลซึ่งกันและกันให้ดี การให้ความรักอย่างถูกทาง เรื่องสลดในหนังทำหน้าที่ตีกลับคนดูไม่ให้ไถลลงคลองเหมือนอย่างครอบครัวนี้ แม้จะเต็มไปด้วยฉากรุนแรง เสื่อมจิต และน่าขยะแขยงปานใด แต่การกล้ายืนหยัดนำเสนอสิ่งที่ใครๆไม่อยากจะเอ่ยถึง ไม่อ้อมค้อมแฝงสัญญะเข้าใจยากกับคนดู ทำให้ยาขมขนานนี้ผ่านซึมเข้าร่างกายอย่างสะดวกโยธิน เสริมภูมิต้านทานกิเลสที่เข้ามาจากภายนอก และออกมาจากภายใน ความดีความชอบทั้งหมดจะตกอยู่ที่ใครไม่ได้นอกจาก เจ้าพ่อหนังคัลท์แห่งประเทศญี่ปุ่น ทาเคชิ มิกิเอะ เพียงคนเดียว

หนังคัลท์ คือหนังที่สร้างขึ้นมาตอบสนองผู้ชมเฉพาะกลุ่ม ส่วนมากจะมีทุนสร้างต่ำ คุณภาพการผลิตที่ไม่ค่อยดีนัก และเป็นหนังที่มีเนื้อเรื่องแปลกประหลาด เลือดสาด หลุดโลก 

Monday, October 3, 2011

Pig เหยื่อสังหาร



ผมดูหนังเรื่องนี้จบไปตั้งแต่หลายอาทิตย์ก่อน ตอนนั้นยังคิดหน้าคิดหลังอยู่ว่าจะนำมาเขียนดีหรือเปล่า เพราะหนังมันช่างมืดหม่น ไร้แก่นสาร จับใจความในเนื้อหนังไม่ถูกจริงๆ เขียนไปเกรงว่าจะไม่ได้ประโยชน์กับคนอ่านจึงนั่งคิดอยู่หลายวัน วันนี้ฤกษ์ดีวันจันทร์เลยขอมาแนะนำหนังแปลกประหลาดเรื่องนี้ให้รับชมกัน

Pig (1998) เป็นหนังใต้ดินกำกับโดย Nico B. ผู้กำกับชาวอเมริกัน และเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของ Rozz Williams (ฆาตกรในหนัง) นักร้องเพลงเดธร็อกที่ฆ่าตัวตายโดยการแขวนคอในห้องพัก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นหนังโหดเลือดสาด เนื่องจากถูกจับเข้าไปใส่ในการเขียนแนะนำหนังต้องห้ามของหลายๆคนในอินเตอร์เนต แต่พอได้ดูจริงๆไม่อาจกล่าวได้ว่าถึงขั้นเป็นหนังต้องห้ามใดๆ เพราะภาพส่วนใหญ่ในหนังจะออกแนวนามธรรมที่ชวนให้กุมขมับ มากกว่าอาการตื่นเต้นหรือหวาดเสียวเสียอีก

Pig จัดเป็นหนังชนิดที่เรียกว่า หนังแนวทดลอง (Experimental Film) ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าแนวทดลองจึงดูไม่ค่อยประนีประนอมกับคนดูมากนัก (ก็เขาทดลองนี่) ซึ่งหากว่าคุณหามาดูแล้วไม่รู้เรื่องก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สบายใจได้ หากจะกล่าวสั้นๆเกี่ยวกับลักษณะหนังแนวทดลองก็ต้องอธิบายว่าเป็นหนังที่แหวกกระแสแบบที่ไม่มีใครเคยคิดมาก่อน เหมือนกำลังทดลองเทคนิค หรือกรรมวิธีบางอย่างทางภาพยนตร์ มักจะฉายในวงแคบๆโดยไม่หวังผลทางธุรกิจ เนื้อหาทำนองต่อต้านขนบธรรมเนียม ความเชื่อของคนส่วนใหญ่ และมีความรุนแรงกลั้วอยู่ในที มีการแบ่งชนิดของหนังแนวทดลองออกเป็นหลายหัวข้อ เช่น Abstract Film, The Absolute Film, Dada and Surrealist Film ฯลฯ

ชายลึกลับเตรียมเครื่องมือหลายอย่างลงในกระเป๋า และเดินทางด้วยรถไปยังบ้านหลังหนึ่งที่รอบข้างเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า เหมือนชายแดนเม็กซิโกไม่มีผิด ข้างๆกันนั้นมีชายที่พันผ้าที่หัวนั่งรถไปด้วย พอเข้าไปในบ้านชายลึกลับก็เปิดกระเป๋าเอกสารหยิบเอาเครื่องมือออกมามีทั้งกรรไกร มีด เข็มฉีดยา หนังสือประหลาด และหลายๆอย่างที่น่าจะเอาทำอันตรายกับชายโพกผ้าแน่ๆ ชายลึกลับเปิดหนังสือที่คาดว่าเป็นตำราของซาตานอ่านขั้นตอนและทำตามหนังสือเล่มนั้นกับเหยื่อ แต่ละขั้นตอนที่วิตถารพิศดารเหลือรับประทาน มีกระทั่งเย็บ...ของเหยื่อไว้กับ... หรือการใช้มีดโกนกรีดตามร่างกายของเหยื่อเป็นคำว่า Pig

ภาพในหนังเป็นแนวเหนือจริง (Surrealist) ชวนแหวะบ้างเล็กน้อยพอทนได้ เสียงประกอบเป็นเหมือนเสียงหึ่งๆของยวดยานพาหนะบนท้องถนนแถวสุขุมวิทมากกว่าเสียงหลอกหลอนของปีศาจ บางจังหวะสามารถที่จะพาคนดูให้ขนหัวลุกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่หนังไม่พาเราไปถึงตรงนั้น ผมไม่รู้ว่าเป็นการจงใจ หรือความกล้าๆกลัวๆที่จะ "ทดลอง" กันแน่ ซึ่งค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับความพยายามตลอด 23 นาทีของหนังเรื่องนี้

Sunday, October 2, 2011

INSIDE ครรภ์..คลั่ง..ฆ่า!!



บอกตามตรงเลยว่าไม่เคยเจอหนังเรื่องไหนที่ละเลงเลือดเท่าเรื่อง Inside (2007) มาก่อน แต่ละฉากน่าจะสมใจพระเดชพระคุณท่านที่ชอบหนังโหดสยดสยอง เรียกได้ว่าขาเดธร็อคดูต้องร้องจ๊ากกันเลยทีเดียว หนังเรื่องนี้เป็นผลงานชิ้นแรกของคู่หู Julien Maury และ Alexandre Bustillo ที่ถือได้ว่าเป็นคลื่นลูกใหม่แห่งวงการหนังสยองขวัญฝรั่งเศส (The New Wave of French Horror Films) หนังทำออกมาได้ตื่นเต้น ถึงเนื้อเถือหนัง และถึงอกถึงใจคนดู แม้ตัวเนื้อหาไม่ได้มีความซับซ้อน แฝงแนวคิด หรืออ้างกรอบสมมติใดๆ แต่ก็ถือว่าทำออกมาได้ประสบความสำเร็จในการเรียกอาการกระอักกระอ่วนมวนท้องได้อย่างดี

อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ได้คร่าชีวิตสามีของซาร่าทำให้เธอเศร้าโศกมาก แต่โชคยังดีที่เธอกับลูกในครรภ์ไม่เป็นอะไร ในวันคริสต์มาสอีฟซาร่าเจอกับผู้หญิงในชุดดำมาขอใช้โทรศัพท์อ้างว่ารถเสีย ซาร่าเห็นท่าทางแปลกจึงหลอกว่าสามีเพิ่งกลับ และหลับไปแล้วจึงไม่อยากให้รบกวน แต่หญิงลึกลับกลับบอกว่าสามีของเธอน่ะตายไปแล้ว แถมยังรู้ชื่อของซาร่าอีกด้วย

หญิงลึกลับไม่มาเปล่า มาทุบกระจกบ้านซาร่าจนร้าว สักพักเห็นท่าไม่ดีซาร่าจึงโทรแจ้งตำรวจ และถ่ายรูปไว้เป็นหลักฐาน ตำรวจมาตรวจเล็กน้อยก็จากไปปล่อยให้ซาร่าอยู่คนเดียวอีกครั้ง ซาร่าหลับไปโดยไม่รู้ว่ามีหญิงชุดดำได้เข้ามาในบ้านของเธอแล้ว แถมไม่พอยังเอากรรไกรขาวปลาบมาจิ้มสะดือซาร่าซะอย่างนั้น ซาร่าตกใจตื่นพร้อมกับโดนกรรไกรบาดปากเป็นทางยาว

ถึงตอนนี้ชั่วโมงของการไล่ล่าซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดก็เริ่มต้นขึ้น


เป็นไปตามคาดที่ฆาตกรจะต้องตายยาก และเหยื่อจะต้องโง่เง่าไม่ทันเกม ดังตอนที่ตำรวจบุกเข้ามาและจับตัวหญิงลึกลับได้แล้วดันเสือกโดนเขาเอาที่ปักโครเชแทงได้อีก ผมดูฉากนี้แล้วก็ต้องอุทานว่า "ตำรวจแม่งโง่จริงๆ" หรือตอนที่ตำรวจอีกคนเข้าไปช่วยซาร่าแล้วถูกฆาตกรยิงหัวระเบิด ตำรวจเมืองนี้นี่ไม่รู้ว่าจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจได้ยังไงเฟอะฟะมาก สรุปตำรวจเรื่อง Inside ตายหมด ไม่รู้ว่าผู้กำกับจะสื่อถึงความล้มเหลวของข้าราชการตำรวจที่ฝรั่งเศสหรือเปล่า เพราะทำออกมาให้ตำรวจค่อนข้างกิ๊กก๊อก เฉิ่มเบอะ ไร้น้ำยาซะยิ่งกว่าตำรวจของบางประเทศซะอีก จะว่าไปตัวหญิงฆาตกรเองก็กิ๊กก๊อกไม่แพ้กัน โดนแทงมือ กัดลิ้น เผาหัว! เรียกได้ว่าทุกคนในเรื่องอ่วมอรทัยกันไปถ้วนหน้า



ตอนหลังๆใครเห็นเลือดไม่ได้ก็อย่าดูเพราะสงสัยงบทำหนังจะเยอะเล่นละเลงเลือดกันมันมือ แดงฉานไปทั้งบ้าน รวมถึงฉากสุดท้ายที่ค่อนข้างสยดสยองสมชื่อเรื่องภาษาไทยจริงๆ สำหรับ Inside ครรภ์ คลั่ง ฆ่า ได้คะแนนความดิบโหดไปเต็มที่ แต่ด้านเนื้อเรื่องก็ไม่สามารถหลุดพ้นออกมาจากขนบเดิมๆ ทำให้ผมไม่พบความแปลกใหม่ใดๆในหนังเรื่องนี้แม้แต่นิดเดียว หากไม่คิดอะไรมากก็ดูเอาไว้เพลินๆได้ความสนุกไปอีกแบบครับ