Pages

Friday, September 30, 2011

The White Ribbon หลังประตูมีเรื่องลับ



เด็กๆเปรียบเสมือนผ้าใบสีขาว รอที่ใครต่อใครเข้ามาแต่งแต้มเติมสี เด็กๆจะเติบโตขึ้นเป็นใครอย่างไรขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ปกครองสถานเดียว เราๆ (เหล่าผู้ใหญ่) ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ และสมควรดูแลประคับประคองเหล่าเด็กๆของพวกเรา ให้เขาพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมหรือนำหน้าพวกเราไป หากเหล่าเด็กๆกลายเป็นเกกมะเหรก หรือไปก่อเรื่องร้ายแรงเข้า เหล่าผู้ใหญ่สมควรต้องออกไปยืนต่อหน้าเหล่าลูกขุน ยืดอกรับโทษทัณฑ์แต่เพียงถ่ายเดียว

The White Ribbon หนังขาวดำภาพสวยผลงานกำกับของมิคาเอล ฮาเนเก้ ผู้ที่เคยสร้างความหวาดหวั่นจากเรื่อง Hidden (2005) หรือความกดดันแบบนรกแตกจาก Funny Games (1997) หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์ และคว้ารางวัลสูงสุด Palme d'Or จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2009 และอีกหลายๆรางวัลอาทิ European Film Award, Golden Globe แน่นอนหนังของมิคาเอล ฮาเนเก้คงไม่มาทำหนังเด็กน่ารักน่าชังแบบแฟนฉัน หรือรักวัยเด็กแบบสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก แล้วถ้ามิคาเอล ฮาเนเก้จะทำหนังเด็กสักเรื่อง มันจะออกมาในรูปแบบไหน



หมู่บ้านหนึ่งทางตอนเหนือของเยอรมันยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวบ้านอยู่กันมาอย่างสงบสุขมาช้านานด้วยแบบแผนอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยประสบอาชญากรรม ลักวิ่งชิงปล้น เรียกได้ว่าที่นี่เป็นชนบทแสนสุขในอุดมคติก็ว่าได้ จนวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เรื่องที่ว่าคือมีคนคิดพิเรนท์เอาเส้นลวดมาขึงระหว่างต้นไม้ หมอประจำหมู่บ้านอับโชคขี่ม้าเล่นผ่านเข้ามาจึงโดนลวดเหนี่ยวอย่างจัง กระดูกไหปลาร้าทิ่มออกมาดูโลกภายนอก ส่วนม้าที่ขี่มาตายอนาถ

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ ทำไปทำไม แล้วจะทำแบบนี้อีกไหม แน่นอนทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความกลัว ลือกันไปต่างๆนานา เคราะห์กรรมคงกำลังซัดสาดเข้าที่หมู่บ้านนี้เป็นแน่ เกิดมีคนตายเพิ่มขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคนเสียชีวิตจากการผลัดตกจากที่สูงในโรงสี หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ซ้ำร้ายในวันฉลองการเก็บเกี่ยวมีเหตุที่ใครก็ไม่รู้มาทำลายแปลงกระหล่ำของบารอนเจ้าของที่ดิน มีคนเห็นลูกชายของหญิงกลางคนที่ตายแถวๆนั้น ตกดึกลูกชายคนเดียวของบารอนหายไปอีก ทุกคนออกกันตามหาแต่ไม่ก็เจอ สุดท้ายมาเจออยู่ที่โรงสีของบารอนที่มีสภาพถูกเฆี่ยนตีที่ก้นอย่างหนักและจับห้อยหัวโดยใครก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ

The White Ribbon เป็นหนังที่พูดน้อยต่อยเจ็บ อมพะนำความลับสไตล์ของฮาเนเก้ไปตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นบางฉากที่ดูกำกวมไม่ชัดเจนโผล่มาทักทายคนดูแบบดื้อๆ ดังฉากที่เด็กคนนึงถามความหมายของความตายกับพี่สาว พอไม่พอใจคำตอบก็เกิดโมโหโทโสซะอย่างนั้น หรือตอนที่เด็กแปลกมาร์ตินอุตริไปเดินเล่นบนราวสะพาน พอครูถามว่าขึ้นไปเดินบนนั้นทำไม มาร์ตินก็บอกว่า "พระเจ้าคงรักผม ไม่งั้นก็คงฆ่าให้ตายไปแล้ว"

เรื่องลับชนิดเหลวแหลกในครอบครัวเป็นอีกเรื่องที่ีฮาเนเก้ไม่พลาดที่จะนำมาตีแผ่ เริ่มจากครอบครัวของบาทหลวงที่เข้มงวดกับลูกๆราวกับตัวเองเป็นผู้นำเผด็จการทหาร มัีกจะเล็งผลเลิศกับลูกๆของตัวเองตลอดเวลา จนอาจทำให้ลูกสาวผู้ที่เป็นความหวังสำคัญต้องประสบเคราะห์กรรมและหาทางระบายออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนมาร์ตินลูกชายก็ทำท่าว่าจะเป็นเด็กเก็บกดที่ดูือันตรายจนไม่น่าเฉียดใกล้



ครอบครัวของหญิงกลางคนที่ตกจากที่สูงก็ทำท่าจะว่าโอนเอนง่อนแง่น จากเหตุที่ลูกชายคนโตเกิดผูกใจเจ็บ หาผู้กระทำผิดโดยตรงไม่ได้จึงกล่าวโทษชั้นที่อยู่ถัดออกไปคือ บารอน-บารอนเนส 1 เจ้าของที่ดินในหมู่บ้านที่จ้างแม่ของเขา ลูกชายจึงสำแดงการตอบโต้โดยการไปทำลายแปลงกระหล่ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ของชนชั้นศักดินา นั่นนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกชายที่ยากที่จะประสาน

ครอบครัวของหมอประจำหมู่บ้านดูท่าจะเหลวแหลกกว่าใคร ทั้งการที่หมอมีสัมพันธ์สวาทกับหมอตำแยเพื่อนร่วมอาชีพ ที่เลี้้ยงดูลูกชายปัญญาอ่อนให้เขา ความลับเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างลูกสาวกับตัวเองที่ไม่สามารถเอ่ยปากบอกใครได้ หนังเริ่มขมวดปมตอนที่หมอที่มักใช้บริการความสุขกับหมอตำแยเกิดนกเขาไม่ขันจึงว่ากล่าวหมอตำแยว่า เหตุเป็นเพราะเธอนั่นแหละที่สภาพน่าทุเรศทุรังจนทำให้นกเขาเกิดเลิกขัน สุดท้ายในห้องนั้นก็เต็มไปด้วยคำบริภาษแรงๆ คำขู่ และการแช่งให้ตาย ต่อมาลูกปัญญาอ่อนหมอก็หายตัวไป และต่อมาไปเจอในป่าพร้อมกับการถูกทำร้ายที่ดวงตาทั้งสองข้างอย่างทารุณ

หนังไม่ได้บอกโจ่งแจ้งถึงเนื้อเรื่องหรือบทสรุปสุดท้ายที่ไขข้อเฉลยว่าใครเป็นคนทำ แต่กลับให้แนวโน้มบางอย่างสะกิดใจคนดู เช่นแก๊งค์เด็กที่ชอบจับกลุ่มกันหลังหมู่บ้าน หรือเด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มฝันเห็นการทำร้ายร่างกายเด็กปัญญาอ่อน บาทหลวงล่วงรู้ความลับของมาร์ตินลูกชาย เขาทำเพียงติดริบบิ้นสีขาวเพื่อแสดงว่าลูกเป็นสิ่งบริสุทธิ์สวยงาม รวมทั้งข่มขู่ครูที่กำลังสงสัยในพฤติกรรมของลูกๆของเขา



ท้ายสุดก็ไม่ได้แถลงไขอะไรไปมากกว่าฉายภาพความล้มเหลวทางจริยธรรมของมนุษย์ด้วยกัน ความสัมพันธ์ครอบครัวที่ถดถอย โทษของการเลี้ยงดูลูกแบบผิดๆ รวมถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งถือเป็นความเสื่อมโทรมทางใจของมนุษย์มากที่สุดยุคหนึ่ง และเรื่องทั้งหลายก็ละลายหายไปดั่งกระแสน้ำที่พาพัดเอาทุกสิ่งไม่ว่าจะความดีความเลวหายลับลงทะเลไปสิ้น

ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


1. บรรดาศักดิ์ของประเทศอังกฤษ ภรรยาบอรอนคือ บารอนเนส

Wednesday, September 28, 2011

Taste of Cherry รสชาติของการมีชีวิต



ท่ามกลางความกดดันในเมืองใหญ่ สภาพบ้านเมืองที่วิกลด้วยอำนาจบาทใหญ่ของระบบเศรษฐกิจ หรือสภาพบีบอัดทางสังคมได้ถีบหัวส่งให้คนบางพวกคิดถึงเรื่องชีวิตไม่ยืดยาวเท่าเทียมมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย หลายคนหันหน้าหนีความจริง มองหา และจินตนาการถึงพื้นที่ใหม่หลังความตาย หรือหวังใจถึงชีวิตในภพหน้าที่(น่าจะ)ดีกว่าสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน คนทั้งหลายเหล่านั้นเลือกที่จะจบชีวิตของตัวด้วยน้ำมือของตนเอง ทิ้งคำถามสั้นๆไว้ให้คนที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้ตอบแทนว่า ชีวิตคือสิ่งที่สวยงามกระนั้นหรือ?

อับบาส เคียรอสตามี ผู้กำกับชั้นครูของโลกทิ้งคำถามสำคัญนี้ไว้กับ Taste of Cherry หนังรางวัล Palme d'Or รางวัลสูงสุดของเทศกาลหนังเมืองคานส์ประจำปี 1997 1 อับบาส เคียรอสตามีพาเราไปติดตามชีวิตของนายบาดี ที่ตระเวณขับรถรอบๆเมืองเตหะรานเพื่อหาใครสักคนมาช่วยทำงานสำคัญมากที่สุดในชีวิตของเขา บาดีเจอทหารหนุ่มนายหนึ่งจึงชวนขึ้นรถและชวนคุยถึงเรื่องต่างๆ รวมถึงบางเรื่องที่เข้าไปสำรวจสภาพครอบครัวและฐานะ เหมือนกำลังหยั่งความสามารถว่าพอที่จะมารับงานของเขาได้หรือไม่ จำนวนค่าตอบแทนที่จะให้สำหรับคนที่มารับงานนี้ มันย่อมสะกิดต่อมสงสัยของใครก็ตามที่รู้ถึงปริมาณเลขศูนย์นอนที่เรียงกันถึงห้าหลัก ถึงทหารหนุ่มคนนี้จะไม่ฉลาดมากมาย แต่ก็ไม่โง่พอที่จะตะครุบเงินก้อนโตโดยที่ไม่ไถ่ถามถึงรายละเอียดของงานลึกลับนี้ซะก่อน ไม่แน่ว่างานชิ้นนี้ของบาดีอาจจะมีความสุ่มเสี่ยง หรือให้ทำในสิ่งที่เกินเลยไปจากบรรทัดฐานของสังคมก็เป็นได้

บาดีพาทหารหนุ่มมาถึงที่แปลกเปลี่ยว รกร้าง มีหลุมหนึ่งถูกขุดทิ้งไว้อย่างเป็นปริศนา บาดีบอกสิ่งที่ทหารหนุ่มต้องทำ หลังจากที่ทหารหนุ่มได้ฟังรายละเอียดแกมขอร้องบวกการยั่วยุ ทำให้ทหารหนุ่มตัดสินใจก็กระโดดหนีจากรถแล้ววิ่งเตลิดไปไกล ทิ้งเพียงฝุ่นผงกระเด็นลอยฟุ้งให้เขามองตามไปอย่างเงียบๆ งานง่ายๆที่บาดีต้องการให้ทำคือ ในตอนเช้ามืดของวันพรุ่ง ให้กลับมายังที่ตรงนี้แล้วขานชื่อ บาดี! บาดี! หากมีเสียงตอบก็ให้ฉุดเขาขึ้นมาจากหลุม, แต่หากไม่มีเสียงตอบใดๆ ให้ช่วยโกยดินฝังเขาไว้เช่นนั้น พูดง่ายๆก็คือ มาช่วยฝังร่างของบาดี หลังจากที่เขากระทำอัตวินิบาตกรรมนั่นเอง!



ก่อนที่บาดีจะถอดใจ เขาได้พบกับบอเกรี ชายชราชาวตุรกีที่ประกอบอาชีพสต๊าฟสัตว์ได้ตอบตกลงจะเป็นผู้รับหน้าที่อันแสนประหลาดนี้ บอเกรีผู้ที่เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว พยายามเกลี้ยกล่อมบาดีให้ล้มเลิกความคิดตลอดการเดินทางกลับบ้านโดยมีบาดีเป็นผู้มาส่ง อาจเพราะคำพูดของเบกอรีหรือไม่ก็พระเจ้าที่ดลใจทำให้บาดีเลี้ยวรถกลับไปหาบอเกรีอีกครั้ง เพื่อบอกข้อความที่สำคัญบางอย่างกับเขา

อับบาสตั้งใจหยิบหลายๆสิ่งออกไปจากหนังเช่น ตัวละคร เนื้อหา ฉาก ที่สำคัญที่สุดคือการตัดเสียงที่ไม่จำเป็นออกไป 2 เหลือไว้เพียงการพูดคุยระหว่างบาดีกับคู่สนทนาของเขาเท่านั้น ทำให้หนังเรื่องนี้มีความเงียบงันซึมแทรกอยู่โดยตลอด ฉากสนทนาทั้งหลายเต็มไปด้วยความมึนตึง อับบาสเลือกใส่ความเงียบเข้าไปเป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่สามารถแสดงบทบาทได้อย่างโดดเด่นราวกับเป็นนักแสดงเสียเอง หลายคนเมื่อได้ดูอาจต้องอดทนกับการเดินเรื่องอย่างเนิบนาบ ไร้จุดพลิกผัน และชวนง่วงหาว แต่หากคุณลองตั้งใจดู อดทนกับสิ่งที่อับบาสเคลือบหลอกเอาไว้ได้ คุณอาจพบกับสาระน้ำดี อารมณ์ขันสุดร้ายกาจ และอาจได้ลิ้มรสผลเชอรี่อันหวานหอมที่อับบาสลอบวางทิ้งไว้ก็เป็นได้


1 ได้รางวัลร่วมกับหนังญี่ปุ่นเรื่อง The Eel
2 Minimalist Style

Saturday, September 24, 2011

Paradise Now ไม่มีสวรรค์ ณ ที่นี้



Paradise Now เป็นชื่อเรื่องหนังของปาเลสไตน์ที่ออกไปประกาศให้ชาวโลกรู้ว่า ชาวปาเลสไตน์ไม่ได้มีชื่อเสียงด้านการสงครามเพียงเท่านั้น หากแต่พวกเขายังรู้ซึ้งถึงศิลปะภาพยนตร์อย่างหาตัวจับยาก หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมปี 2006 แต่น่าเสียดายที่ไปไม่ถึงฝัน เนื่องจากหนังโคตรดีอีกเรื่องหนึ่งคือ Tsotsi (2005) คว้ารางวัลในปีนั้นไป 1

นิติภูมิ นวรัตน์ เคยเขียนบนความหนึ่งซึ่งอธิบายความเป็นมาเป็นไปบนแผ่นดินปาเลสไตน์ไว้อย่างเผ็ดร้อน ขอยกมาย่อๆดังนี้ ชาวยิวได้จัดตั้งกลุ่มหนึ่งที่มีชื่อว่า "ไซออนนิสซ์" จัดตั้งขึ้นมาเพื่อชักชวนความยิวทั้งหลายในโลก เข้าไปตั้งถิ่นฐานบนแผ่นดินของปาเลสไตน์ โดยอ้างว่าดินแดนแห่งนี้เมื่อ 2,000 ปีก่อนชนชาวยิวเคยอาศัยอยู่ รวมถึงยกข้อความในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องที่พระเยซูได้ยกแผ่นดินแห่งนี้ให้ชาวยิว

ชาวยิวเข้าไปตั้งรกราก ณ ที่นี้มิได้เข้ายึดครองด้วยความรุนแรงอย่างประเทศล่าอาณานิคมทั้งหลาย แต่เป็นการไปซื้อที่จับจองอย่างที่เคยเห็นๆในบ้านเรา ประสงค์คือเมื่อมีคนยิวอาศัยอยู่จำนวนมากแล้ว ก็จะสถาปนาประเทศใหม่ที่ชื่อ อิสราเอล ขึ้นในดินแดนแห่งมุสลิมทันที ต่อมามหาอำนาจอังกฤษและฝรั่งเศสคงมีซูเอี๋ย+ซัมธิงค์กับชาวยิว จึงให้การสนับสนุน "เกิดการอพยพครั้งใหญ่" ของชาวยิวไปยังปาเลสไตน์ กลุ่มประชาชาติอาหรับที่สนับสนุนชาวปาเลสไตน์จึงออกโรงต่อต้านอย่างหนักเพราะเหตุผลการตั้งประเทศอิสลาเอลกลางพื้นที่อาหรับมันดูทะแม่งๆ เด็กประถมสามบ้านเราก็รู้ว่านี่มันเอาน้ำลายแตะชัดๆ



สหประชาชาติเห็นท่าไม่ดี เกรงว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีก จึงออกมติพิศดารแบ่งแผ่นดินปาเลสไตน์ออกเป็นสองส่วน โดยฟากหนึ่งให้ชาวยิวปกครองแล้วตั้งรัฐใหม่ขึ้นมาคือประเทศอิสราเอล อีกส่วนหนึ่งเป็นของชาวปาเลสไตน์ฺ มีหรือที่คนพื้นถิ่นชาวปาเลสไตน์จะยอมได้ (นี่มันบ้านเมืองข้านะเว้ย อยู่ดีๆเอ็งมาแบ่งได้ไงฟะ) จึงจัดกองทัพบุกเข้าอิสราเอลเพื่อทวงคืนแผ่นดิน สงครามในที่นี้มีชื่อเรียกว่า สงคราม 6 วัน อียิปส่งกำลังทหารหลายแสนนายพร้อมพันธมิตรอาหรับ เข้าถล่มอิสราเอลที่มีกำลังแค่ 2 แสนเท่านั้น เหตุการณ์กลับตาละปัด! เมื่อชาวยิวเป็นฝ่ายชนะ ยึดดินแดนต่างๆของชาติอาหรับเป็นของตน เช่น ฉนวนกาซา เวสต์แบงค์ แถมขับไล่คนอาหรับออกจากอิสราเอลด้วยอีกต่างหาก

หลังจากนั้นความรุนแรงและการก่อการร้ายก็มีมากขึ้นตามลำดับ ทั้งการจับตัวนักกีฬาเป็นประกันในโอลิมปิกโดยกลุ่มนักรบปาเลสไตน์ "กันยายนทมิฬ" (Black September) และการตอบโต้ของอิสราเอลที่เอาเครื่องบินไปทิ้งระเบิดใส่ฐานของขบวนการปลดปล่อยปาเลสไตน์ (PLO) รวมถึงการตามล้างแค้นสมาชิก PLO โดยหน่วยสืบราชการลับอิสราเอล ที่เรียกตัวเองว่า มอสสาด (Mossad) ดังที่เห็นตัวอย่างในหนังเรื่อง Munich เลยจนถึงการกำเนิดขึ้นของ "กลุ่มติดอาวุธฮามาส" ที่ไม่เห็นด้วยกับการประนีประนอมของ นายอับบาสผู้นำคนใหม่ของ PLO ที่ใช้นโยบายอ่อนข้อต่อประเทศอิสราเอล 2

ฮานี อับบู อาซซาส ผู้กำกับชาวปาเลสไตน์-เนเธอแลนด์ได้เผยภาพของวันสุดท้ายของสมาชิกกลุ่มหัวรุนแรงสองคน ที่ต้องเข้าไประเบิดฆ่าตัวตายในกรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสลาเอล ตามประสงค์ที่ทั้งคู่เชื่อว่ามาจากองค์อัลเลาะห์ หนังดำเนินเรื่องด้วยสายตาของ "คาเลด" หนุ่มผู้เห็นถึงความขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องแบ่งแยกดินแดน ดังที่ฉากหนึ่งคาเลดลอบเข้าไปหาหญิงสาวที่ตนสนใจ ซูฮา อัซซาน และถกเถียงกันถึงเรื่องความผิด-ถูกของการตอบโต้รัฐอิสลาเอลด้วยแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน บทสนทนาอันแหลมคมยุติลงเมื่อหญิงสาวถามคาเลดว่า "ถึงจะเถียงกันให้ตาย ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมาหรอก"



ฉากหนึ่งที่ซาอิดประกาศสานส์แห่งการต่อต้านอิสลาเอลหน้ากล้องวีดีโออาจทำให้คนดูสะอึก ด้วยถ้อยความจริงที่น่าอับอายต่อประเทศที่ได้ชื่อว่าเจริญแล้ว รวมถึงเสียงขบขันบนโศกนาฏกรรมที่ทั้งคู่กำลังแบกรับไว้ เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปเมื่อเกิดเหตุฉุกละหุกตอนที่ทั้งสองกำลังจะข้ามผ่านชายแดน ทำให้คาเลดต้องเข้าไปปฏิบัติการระเบิดฆ่าตัวตายในเทลอาวีฟเพียงคนเดียว จุดยืนของกำลังคาเลดเริ่มสั่นคลอนตั้งแต่คุยกับซูฮา มันไม่มีวิธีอื่นใดที่ดีกว่านี้แล้วหรือ?

หนังปล่อยให้เราคิดไปพร้อมกับตัวละครที่ต้องตัดสินใจระหว่างการตอบโต้เพื่อการปลดปล่อยและความชอบธรรมในการมีชีวิตของคนอื่นๆ แม้หนังทำทีตัดสินใจเลือกทางออกแทนคนดู แต่ผลลัพท์ของมันก็ทำให้แต่ละคนสามารถตอบตัวเองได้อย่างดีว่า เราจะต้องลุกขึ้นจับอาวุธสู้ หรือจะปล่อยให้ผู้มีอำนาจกระทำหยามเกียรติของเราต่อไป


1. ถึงไม่ได้ออสกา แต่หนังไปคว้าอีกหลายรางวัล IMDB
2 ขณะที่เขียนนี้นายอับบาสกำลังขอเป็นสมาชิกสหประชาชาติ เพื่อผลในการยกปาเลสไตน์เป็นรัฐใหม่ (Sep 2011)

Friday, September 23, 2011

Snuff 102 (อเวจี 102)



ผมคงไม่ใจดำบอกให้คุณไปเสาะหาหนังเรื่องนี้มาดู เพราะหนังมันมิได้จรรโลงใจ และไม่ได้ให้แง่คิดไปฝากบอกลูกหลานให้ปฏิบัติตาม หนังเรื่องนี้ให้เพียงความเอน็จอนาถและความถ่อยสุดขั้วเท่านั้น ถึงกับมีเรื่องเล่าว่าตอนที่ฉายในเทศกาลหนัง ก่อนหนังจบผู้ชมลุกขึ้นโห่ฮาป่า รวมถึงพยายามจะเข้าไปสหกรรมบาทาผู้กำกับเพราะคิดว่าสิ่งต่างๆในหนังมันของจริง นี่เป็นการย้ำให้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มันรุนแรงปานใด

Snuff 102 เปิดเผยเรื่องราวของภาพยนตร์แขนงหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่า Snuff Film คือการฉายภาพความรุนแรงในรูปแบบสมจริง ตั้งกล้องถ่ายภาพความสยองที่เกินคนธรรมดาจะรับได้ ดังในเรื่องมีฉากฆ่าหมูเป็นๆ และทำร้ายสัตว์ต่างๆจนถึงแก่ความตาย เคยมีข่าวที่หญิงชาวจีนเคยนำคลิปการฆ่ากระต่ายลงยูทูปจนโด่งดังกระฉ่อนอินเตอร์เนตให้เป็นที่สะใจพวกที่ชอบความรุนแรงแบบสุดโต่ง -- นี่คือแนวทางของ Snuff Film

Snuff Film (เทียม) เรื่องดังที่ถูกทำออกมาจากประเทศญี่ปุ่นราวปี 1980 - 1990 มีกลุ่มนักดูหนังใต้ดินพูดถึงถึงทุกวันนี้คือ Guinea Pig ที่ออกมาถึง 7 ภาค ภาคที่ทำคล้าย Snuff Film มากจนมีชื่อเสียงโด่งดัง คือภาคที่มีชื่อว่า Flowers of Flesh and Blood ในเรื่องมีซามูไรในชุดดำถือดาบยาวกระทำเรื่องบัดซบกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง ความสมจริงในสมัยนั้นคงมีมากถึงขนาดดาราฮอลลีวูด ชาลี ชีน เห็นภาพวีดีโอม้วนนี้แล้วถึงกับวิ่งโร่ไปแจ้ง FBI ว่ามีคนสร้าง Snuff Film ขึ้นมาจริงๆ โชคดีของทีมงานที่ผู้กำกับ (Hideshi Hino) บันทึกเบื้องหลังการถ่ายทำไว้จึงรอดคุกตารางไปได้อย่างฉิวเฉียด

Guinea Pig ทำมาถึงภาค 7 ก็ต้องหยุดการสร้างต่อ เพราะมีโอตาคุคนหนึ่งนำขั้นตอนนรกในวีดีโอม้วนนี้ไปทำตามจริงๆ! Tsutomu Miyazaki ถูกกล่าวหาว่าฆาตกรรมเด็กหญิงถึง 4 คน เลียนแบบขั้นตอนวิปริตในเรื่อง Flower of Flesh and Blood เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดกระแสต่อต้านโอตาคุไปทั่วประเทศ สุดท้าย Tsutomu Miyazaki ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในเรือนจำกรุงโตเกียวในวันที่ 17 มิถุนายน ปี ค.ศ. 2008 รวมไปถึงปิดฉากซีรีย์มหาโหดไปโดยปริยาย

ส่วน Snuff Film ของแท้ที่มีการฆาตกรรมนั้น มักเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันในกลุ่มนักดูหนังใต้ดิน ไม่ค่อยมีคลิปจริงออกมาสู่สาธารณะชน หากแต่ว่ามีบางส่วนเล็ดรอดออกมาให้เป็นที่ฮือฮาและสุดสะเทือนใจในความโหดร้ายของมนุษย์ด้วยกัน เช่น กรณี 2 guys 1 hammer 1  ชาวยูทูปได้ถ่ายคลิปภาพตัวเองเมื่อดูภาพคลิปโหดนี้ สีหน้าแต่ละคนบรรยายถึงความสลดสังเวชกับภาพที่เห็น ผมดูคลิปที่พวกเขาถ่ายสีหน้าตัวเองออกมาอวดชาวบ้านแล้วรู้สึกว่าความป่วยไข้ของคนเรามันไปไกลขนาดนี้แล้วหรือ?

ในหนัง Snuff 102 เป็นหนังประเทศอาเจนตินาสร้างเมื่อปี 2007 เล่าถึงนักข่าวสาวคนหนึ่งที่กำลังค้นหาเรื่องเกี่ยวกับ Snuff Film เพื่อนำไปทำข่าว เธอเข้าไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง จนได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Snuff Flim ของแท้

การผูกเรื่องทำอย่างง่ายๆ ชนิดละครน้ำเน่าไทยซับซ้อนกว่าอักโข มี Snuff File 2 มากมายในหนัง ซึ่งคาดว่าจะเป็น Snuff File จริงซะส่วนมากยกเว้นฉากทำฆาตกรรม งานภาพดิบเต็มไปด้วยเกรนหยาบๆ สีที่ชวนสยอง และบางครั้งดูไม่ออกว่าภาพอะไร ภาพตัดสลับเรื่องราวก่อนหน้ากับการถ่าย Snuff เป็นช่วงๆ มีฉากโหดเหี้ยมมากมาย คนที่เป็นโรคหัวใจ ขวัญอ่อน หนังเรื่องนี้ไม่เหมาะที่จะดูด้วยประการทั้งปวง ส่วนคนที่เคยดูหนังโหดๆมาก่อนแล้ว หนังเรื่องนี้เป็นแค่เศษเสี้ยวของความโหด ที่มีไม่มากไม่น้อยไปกว่าเรื่องอื่นๆนัก

1 การฆาตกรรมในประเทศยูเครนโดยสองวัยรุ่นสวะที่ก่อเหตุร้ายแรงและถ่ายวีดีโอเก็บเอาไว้
2 Snuff ในรูปแบบดิจิตอลไฟล์ ที่หาโหลดได้ในอินเตอร์เนต

Thursday, September 22, 2011

Happy Together โลกนี้รักใครไม่ได้นอกจากเขา



เรื่องเล่าผ่านมุมมองของ ไหลเยี่ยฟานที่กำลังอยู่ในวังวนแห่งรักที่มีต่อโหวเป่าหวิง คำจัดความเรื่องเพศไม่สามารถแบ่ง 'เขา' และ 'เธอ' ออกจากกัน กลับสอดประสานดำเนินไปอย่างสวยงามไม่ต่างจากความรักของคนอื่นๆ ผลงานชิ้นเอกของผู้กำกับ หว่องกาไว ที่ไปคว้ารางวัลใหญ่ที่เทศกาลหนังเมือคานส์ปี 1997 งานสุดเนี้ยบด้านภาพเป็นฝีมือของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ หลายคนคงคุ้นชื่อเพราะเคยมาทำงานกับ 'เป็นเอก รันตเรือง' เรื่อง รัก น้อยนิด มหาศาล และคำพิพากษาของมหาสมุทร หนังถ่ายทอดทั้งภาพขาวดำ เทคนิคคลอสสี ซึ่งบ่งบอกอารมณ์ รวมถึงการถือกล้องด้วยมือทำให้ภาพสั่นไหวคล้ายมุมมองของบุคคลที่สาม

หว่องกาไวพาคนดูไปซุ่มสังเกตุเรื่องความรักของสองชายหนุ่มที่ชื่อ ไหลเยี่ยฟาน (เหลียงเฉาเหว่ย) และ โหวเป่าหวิง (เลสลี่จาง) ในประเทศอาเจนตินา โหวเป่าหวิงทิ้งไหลเยี่ยฟานไปครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็กลับมาขอคืนดีตลอด ครั้งสุดท้ายเมื่อทั้งสองเดินทางไปท่องเที่ยวและตามหาน้ำตกอีกัวซู (น้ำตกที่สวยและใหญ่ที่สุดในอาเจนตินา) แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการลาจากที่ไหลเยี่ยฟานครุ่นคิดเสมอมา



วันหนึ่งโหวเป่าหวิงโดนอัดเสียน่วมเนื่องจากขโมยนาฬิกาเพื่อมาให้ไหลเยี่ยฟาน สุดท้ายก็โดนซ้อมจนต้องซมซานมาขอนาฬิกาคืน และขอให้กลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ไหลเยี่ยฟานตอบตกลงอย่างจำใจ และรักษาบาดแผลทางกายและใจให้โหวเป่าหวิง ฉากถัดๆมาเราจะเห็นเรื่องราวกุ๊กกิ๊กของทั้งคู่ ดูเผินๆราวกับเป็นหนังรักหวานชื่นของคู่หนุ่มสาว ที่ต้องพูดถึงและชมเชยคือการไม่แสดงออกเกินงามหรือเกินความจำเป็น ไม่ใช้ฉากเซ็กซ์มาเป็นเครื่องมือหลักในการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างที่หลายๆคนตั้งข้อครหาเกี่ยวกับหนังจำพวกชายรักชาย หนังบรรจงถ่ายทอดภาพให้สง่างามผ่านการใช้ชีวิตของทั้งคู่ได้อย่างฉลาดและไม่เบาโหวงจนเกินไป

การเพิ่มตัวละครใหม่อย่าง อาเฉิน พนักงานในร้านอาหารเดียวกับไหลเยี่ยฟานทำงานอยู่ ทำให้เรื่องมีอรรถรส กล่อมคนดูให้คิดหลงไปในทางที่หว่องกาไววางกับดักเอาไว้ อาเฉินเข้ามาสนิทสนมกับไหลเยี่ยฟานอย่างรวดเร็ว แต่มิได้เชิงชู้สาว(หนุ่ม) แต่เป็นเพื่อนที่คอยอยู่ใกล้ ปลอบประโลม ให้กำลังใจไหลเยี่ยฟานตลอด ภาพที่อาเฉินลอบมองไหลเยี่ยฟานเหมือนคนที่แอบหลงรัก เข้าไปโอบกอบขณะที่เตะบอลด้วยกัน ปฏิเสธนัดเดทกับสาวสวย หรือการที่อาเฉินห่มผ้าให้ ซึ่งเรื่องอย่างนี้ผู้ชายเขาไม่ทำกัน ผู้กำกับสร้างภาพให้มีความหมิ่นเหม่ในหนัง ทำให้คนดูคิดภาพวาบหวามเป็นตุเป็นตะไปแล้วล่วงหน้า



ขณะเดียวกันรอยแยกกำลังแตกออกจากความเบื่อที่เหมือนกับครั้งก่อนหน้า โหวเป่าหวิงลอบออกไปข้างนอกคนเดียวตอนกลางคืนโดยที่ไหลเยี่ยฟานไม่รู้ เมื่อกลับมาจึงเกิดปากเสียง โหวเป่าหวิงอ้าวว่าออกไปซื้อบุหรี่ทั้งที่แต่งตัวเนี้ยบผมเรียบแปร้ ทำให้ไหลเยี่ยฟานประชดด้วยการซื้อมาเป็นคอตตอนเพื่อจะไม่ให้โหวเป่าหวิงออกไปไหนตอนกลางคืนอีก แต่จนแล้วจนรอดโหวเป่าหวิงก็ออกไปจนได้โดยอ้างว่าไปซื้อขนม

โหวเป่าหวิงถามหาพาสปอร์ตของตัวเองเมื่อหาไม่พบ ไหลเยี่ยฟานเก็บไปซ่อนเอาไว้และอ้างว่าไม่เห็น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่สิ้นสุดลงตรงนี้ ส่วนเรื่องของอาเฉินก็กำลังจะจบลงเช่นกัน เมื่ออาเฉินตัดสินใจลาออกจากร้านอาหารเพื่อเดินทางไปยังสุดขอบโลก ก่อนเดินทางอาเฉินชวนไหลเยี่ยฟานไปกินเหล้าที่ร้านหนึ่งพร้อมกับยื่นเครื่องอัดเสียงให้ไหลเยี่ยฟานพูดอะไรก็ได้เป็นที่ระลึก ฉากที่ไหลเยี่ยฟานพูดอะไรบางอย่างใส่ที่อัดเสียง มันชวนให้สังเวชใจ และชวนให้ขนลุกกับการแสดงที่เหมือนหยุดเวลาเอาไว้ชั่วครู่ ถึงแม้ความสัมพันธ์ของอาเฉินกับไหลเยี่ยฟานไม่ได้เจริญงอกงามไปจนเกินเลย แต่หนังแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์อย่างหลังมีคุณค่า ยืนยาว และศักดิ์สิทธิ์ ไม่ไปน้อยกว่าความรักชู้สาวเลยทีเดียว

หลังจากนั้นโหวเป่าหวิงก็สำนึกได้ว่าเธอได้ทิ้งสิ่งที่เธอตามหามาตลอดชีวิต โหวเป่าหวิงกลับไปอยู่ที่ห้องเช่าเดิมที่ไหลเยี่ยฟานกับเธอเคยอยู่ด้วยกัน ไหลเยี่ยฟานขายพาสปอร์ตของโหวเป่าหวิงเป็นทุนการเดินทางไปยังน้ำตกอีกัวซู เพื่อระลึกถึงบางสิ่งก่อนจะไปไทเปบ้านเกิดของอาเฉิน และรับรู้ความจริงบางอย่างที่ติดค้างในใจเขามานาน


ขออุทิศแด่เลสลี่จาง

Wednesday, September 21, 2011

Frontier(s) - อำมหิตสุดขอบ(คลั่ง)



หนังฝรั่งเศสเรื่อง Frontier(s) (แปล:ชายแดน) ได้หยิบยืมเหตุการณ์การประท้วงของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า "กองทัพอนาธิปไตย" (militant anarchists) ที่รับไม่ได้กับชัยชนะในการเลือกตังประธานาธิบดีของนายนิโคลาส ซาร์โกซี กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่มีเหนือนางเซโกลีน โคแยล ผู้สมัครจากพรรคสังคมนิยม ที่ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มวัยรุ่นที่อาศัยในย่านเคหะที่ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานจากผู้อพยพ เหตุหลักใหญ่ที่ทำให้นายซาร์โกซีถูกต่อต้านจากผู้ประท้วง เพราะการที่นายซาร์โกซีเคยประกาศนโยบายจะไม่ให้ฝรั่งเศสเป็นสวรรค์สำหรับผู้อพยพเข้าเมือง รวมถึงนายซาร์โกซีเคยเรียกกลุ่มเยาวชนที่อาศัยอยู่ในย่านการเคหะนี้ว่า "ไอ้เศษสวะ" เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่กับผู้ประท้วงจำนวน 300 - 400 คนที่จัตุรัสบาสตีย์ และจัตุรัสสาธารณรัฐ มีรายงานว่ามีรถยนต์ถูกเผาวอดไปถึง 730 คัน

วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งอาศัยสถานการณ์ที่วุ่ยวายจากเหตุการณ์ประท้วงเข้าไปขโมยทรัพย์สินจากร้านรวงแต่โชคไม่ดีถูกตำรวจตามล่า หนึ่งในนั้นถูกยิงและเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาล ทั้งสี่ตัดสินใจหนีออกนอกเมืองมุ่งไปยังชายแดนเพื่อหนีจากการตามล่าของเจ้าหน้าที่รัฐ ทอมและฟาอิดมาถึงโรงแรมแห่งหนึ่งจึงตัดสินเข้าพัก ไม่นึกว่าจะได้รับการต้อนรับที่ถึงใจด้วยเหล้าและกามกิจ ส่วนอีกสองคนก็กำลังเดินทางเข้าสู่ปากเหวแห่งอเวจีโดยที่ไม่มีใครรู้ตัว

เรื่องมาถึงจุดบีบคั้นเมื่อคาร์ล (ฆาตกรปลอมเป็นตำรวจ) เข้ามาสอบถามเรื่องการเดินทางของทั้งสองด้วยอาการคุกคามและต่อมาเกิดการต่อสู้กัน ทอมถูกฟันด้วยมีดด้ามใหญ่จนนิ้วขาดกระเด็นหายไปสองนิ้ว ฟาอิดพยายามหนีการตามล่าแต่ถูกโกเอ็ทส์ (เจ้าของโรงแรมที่รูปร่างเหมือนนักมวยปล้ำ WWE) ขับรถเสยตกลงไปข้างทาง เคราะห์ดีทั้งคู่ยังไม่ตายและพยายามหนีเข้าไปในรูแคบๆรูหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้ทอมโดนทุบหัวที่ค้อนปอนด์เมื่อโผล่หัวออกไป หลังจากนั้นไม่นานฟาอิดเองก็พบจุดจบที่น่าสยองไม่แพ้กัน



อเล็กซ์และยาสมินมาถึงโรงแรมไม่ทันไรก็ถูกครอบครัววิปริตจับใส่ปลอกคอลากไปที่เล้าหมู และสำเร็จโทษอเล็กซ์ด้วยการตัดเส้นเอ็นที่เท้าและยิงที่ศีรษะ เหตุการณ์ค่อยๆเปิดเผยถึงความบ้าของครอบครัวที่มีพ่อเป็นอดีตนาซีคลั่งชาติที่พยายามจะสร้างครอบครัวที่มีเลือดบริสุทธิ์ โดยการสมสู่กันเองในครอบครัว แต่ลูกที่ออกมาพิกลพิการหมดทำให้ไม่เหมาะที่จะเป็นอารยันชน จึงหาหญิงสาวเพื่อมาเป็นผู้ให้กำเนิดสมาชิกนาซีคนใหม่ให้กับครอบครัว พอดียาสมินกำลังเริ่มตั้งครรภ์จึงมาเข้าทางนรกของครอบครัวนี้พอดิบพอดี

จุดไคล์แมกซ์เริ่มขึ้นเมื่อยาสมินฮึดสู้โดยจับพ่อบ้านาซีไว้เป็นตัวประกัน ครอบครัวนรกทุกคนจับปืนพร้อมที่จะยิงแต่ติดที่พ่อถูกมีดจ่ออยู่ที่คอ ฮานส์ลูกคนหนึ่งที่เก็บกดกับความเข้มงวดของผู้เป็นพ่อ ระเบิดกระสุนส่งพ่อตัวเองลงนรกพร้อมกับตัวเองที่ถูกพี่แท้ๆยิงจนถึงแก่ความตาย, ความสยองที่แท้จริงก็เริ่มต้นจากตรงนี้ --



หนังฉายภาพแรงกดดันที่ออกมาจากผู้ที่มีอำนาจในทุกทิศทาง การลุกขึ้นมาต่อกร+เห็นแย้งเป็นทางเลือกเดียวที่ทำให้ชีวิตอยู่รอด และช่วยให้ผู้มีอำนาจได้สำเหนียกว่ามีแรงต้านอยู่จริงและพร้อมที่จะทำอะไรที่ครอบครัวนาซีหรือรัฐฐะกลัวเกรง

ฉากเด็ดที่กล่าวขวัญกันว่า "รุนแรง" มากที่สุดฉากหนึ่ง คือ การที่นางเอกกระทำกับไอ้โรคจิตที่กำลังคิดว่าตัวเองเป็นผู้ล่า ด้วยความประมาทบวกกับแรงโต้กลับอย่างจากคนที่กำลังจนตรอก แปลเปลี่ยนเป็นฉากแห่งความตายที่คนดูหนัง Gore หลายคนต้องยกนิ้วให้ถึงความสมจริง และสะใจกับภาพที่เห็น

แม้ตอนจบหนังจะเผยชุดความจริงที่ว่า "การหลบหนีจากวงจรหนึ่ง ท้ายสุด ก็ต้องก้มหัวให้อีกวงจรหนึ่งอยู่ดี ไม่มีใครหนีพ้นจากอำนาจการปกครอง" แต่ก็มีชุดความจริงอีกชุดที่บอกว่า

เมื่ออำนาจปกครองเปลี่ยนเป็นทรราชย์เมื่อใด
คนอย่างยาสมินก็จะลุกขึ้นมาทำอย่างในหนังนั้นร่ำไป

My Life in Pink (Ma vie en rose) - ชีวิตผม สีชมพู



ไม่มีใครอยากให้ลูกเกิดมาผิดเพศ ถึงแม้สังคมในสมัยนี้เปิดกว้างให้คนกลุมเพศที่สาม(หรือสี่)สามารถเงยหน้าหาแสงแห่งโอกาส สามารถหยัดยืนสู้โชคชะตาได้อย่างไม่น้อยหน้าเพศชายหรือหญิง แต่การเป็นเพศ "ปกติ" ย่อมดีกว่าถูกตราหน้าว่าเป็นกระเทยให้เป็นที่อับอายต่อเพื่อนบ้านหรือแม้แต่ครอบครัวตัวเอง

การเป็นกระเทยหรือเพศที่สามอาจเกิดจากฮอร์โมนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา การพัฒนาสมอง หรือทางพันธุกรรม บวกรวมกับสิ่งแวดล้อมที่ฟูมฟักทำให้เกิดลักษณะที่คล้ายเพศเมียในผู้ชาย หรือกลับกันในผู้หญิง ถึงอย่างไรก็ตามเด็กที่เกิดมาเช่นนี้ย่อมต้องได้รับการดูแลมากกว่าเด็กปกติ เพื่อให้เขาหรือเธอเติบโตไปเผชิญกับโลกที่โหดร้ายกับทุกคนไม่เกี่ยงชาติพันธุ์หรือเพศสภาพ

ลุดโดวิคเป็นเด็กผู้ชายอายุเจ็ดขวบที่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นมีพ่อแม่และพี่น้องอีกสามคน และสิ่งแวดล้อมที่ใครหลายคนฝันถึง แต่นั่นไม่ได้หลอมทุกสิ่งให้เป็นไปตามครรลองสังคมอุดมคติ เพราะลุดโดวิคมีท่าทีคล้ายเด็กผู้หญิง พ่อและแม่คิดของเขาคิดว่าเป็นไปตามอายุของเด็กที่มีความอยากรู้อยากเห็นจึงไม่คิดอะไรมาก จนแล้ววันหนึ่งลุดโดวิคเล่นเป็นเจ้าสาวที่กำลังเข้าพิธีแต่งงานแบบเด็กๆกับเจโรมลูกของผู้ที่เป็นเจ้านายของพ่อ เมื่อเรื่องแดงขึ้นพ่อและแม่จึงพาลุดโดวิคส่งไปหาจิตแพทย์เพื่อรักษาตัวลุดโดวิคเอง และตำแหน่งของผู้เป็นพ่อแบบกลายๆ ถึงอย่างไรก็ตามลุดโดวิคก็ไม่สามารถหนีสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ แม้จะพยายามทำตัวเป็นผู้ชายถึงขนาดเดินจะเข้าไปจูบเด็กผู้หญิง แต่ถูกปฏิเสธเพราะเธอคิดว่าลุดโดวิคเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกัน

การพยายามทำเรื่องเซอร์ไพร์ซของลุดโดวิคในงานแสดงของโรงเรียนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อลุดโดวิคปิดประตูขังเด็กที่จะแสดงเป็นสโนไวท์ แลัวจัดการใส่ชุดสโนไวท์รอให้เจโรมซึ่งเล่นเป็นเจ้าชายเข้ามาจุมพิต โชคเล่นตลกที่ผ้าคลุมของลุดโดวิคร่วงลงกับพื้นทำให้ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง ด้วยสังคมแบบอนุรักษ์นิยมไม่ผิดแปลกอะไรที่จะทำให้เรื่องทำนองนี้กลายเป็นข่าวโจษจันกระจายไปทุกครัวเรือน ดั่งกรวดก้อนเล็กๆที่ทำให้เกิดคลื่นสั่นกระเพื่อมไปบนผิวน้ำอย่างแช่มช้า

ฉากที่ครอบครัวของลุดโดวิคพากันเดินออกมาจากหอประชุมโรงเรียนเป็นฉากสำคัญที่แสดงถึงพลังแห่งการตัดสินของประชาคมที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าศาลสถิตย์ยุติธรรม ฉากชโลมด้วยสีฟ้าซีด สายตาที่เขม่น ไม่ไว้ใจของชาวเมือง โอบล้อมกลุ่มของลุดโดวิคไม่ต่างกับเหล่าผีดิบในหนังสยอง ลุดโดวิคอาจได้ทำเรื่องที่เกินรับได้ไปไกลลิบ ทั้งที่สังคมอื่นอาจมองเป็นเรื่องตลกโปกฮาของเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งไม่ควรค่าจะเก็บมาคิดให้รกสมอง

ไม่ว่าเรื่องที่ลงมตินั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือสำคัญผิด เหยื่อผู้ถูกเอ่ยถึงย่อมสะบักสะบอมไปด้วยข้อกล่าวหาและเรื่องน่าอับอาย คล้ายไอ้ฟัก 1 ที่ตายจากคำพิพากษาของชาวบ้าน เรื่องสุดสลดของลุดโดวิคและครอบครัวก็ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากนั้นเรื่องราวความซวยมาเยือนครอบครัวนี้อย่างไม่บันยะบันยัง แม่ของลุดโดวิคกล่าวโทษลุดโดวิคเป็นตัวซวยที่พาครอบครัวมุ่งสู่ความฉิบหาย แม้แต่พ่อก็โดนไล่ออกหลังจากทำตามคำแนะนำของย่าที่ให้ลุดโดวิคใส่กระโปรงไปงานวันเกิดเพื่อนบ้าน หรือกระทั่งทางโรงเรียนไล่ลุดโดวิคออกเพราะว่าผู้ปกครองอื่นๆเกรงว่าลูกจะไปใกล้ชิดสนิมสนมและติดเชื้ออาการตุ๊ดแต๋วเข้า

เรื่องราวดำเนินตามวิถี เลื่อนไหลไปจนถึงบทสุดท้ายที่คลี่คลาย คล้ายส่งต่อความคิดหรือคำถามสั้นๆว่า "เราจะรับได้ไหม ถ้าเกิดลูกเกิดมาผิดเพศ?" หรือ "เราจะเลี้ยงลูกคนนี้ต่อไปเช่นไร เลี้ยงให้ตรงกับเพศ หรือตรงกับที่ลูกเป็น?"

หลังสิ้นบรรทัด คุณคงยังไม่ต้องตอบคำถามเหล่านี้
เพราะสักวันคุณคงได้ตอบเมื่อวันนั้นมาถึง





1) จากนิยายเีรื่องคำพิพากษา เขียนโดย ชาติ กอบจิตติ

Tokyo Sonata - ครอบครัวหลอนรัก



หนังเล่าเรื่องของครอบครัวหนึ่งซึ่ง เรียวเฮ เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องหาเงินเพียงตัวคนเดียวเพื่อให้อีก 3 ชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้ วันหนึ่งเรียวเฮถูกให้ออกเพราะมีพนักงานจากจีนมาทำแทน เหตุผลคือ "จ้างคนจีนสามคนเท่ากับค่าจ้างคนญี่ปุ่นคนเดียว"

เรียวเฮออกมาบริษัทอย่างมึนๆ พยายามเดินหางาน แต่ทุกที่เป็นอาชีพต้อยต่ำและเงินเดือนน้อยกว่าเดิมทั้งนั้น เรียวเฮจึงยอมรับชะตา กลายเป็นคนไม่มีงานทำต้องมารับข้าวแจกฟรีกินเหมือนคนไม่มีงานทำอื่นๆ เรียวเฮตั้งใจปกปิดเรื่องตกงานกับครอบครัวเอาไว้เพื่อรักษาเกียรติของผู้นำครอบครัวซึ่งเขายอมไม่ได้ที่จะต้องเสียมันไป

ทุกวันเรียวเฮจะทำเหมือนไปทำงานแต่เช้าและกลับมาในเวลาปกติ คุรุซึเพื่อนที่ตกงานด้วยกันถึงกับตั้งเสียงโทรศัพท์ให้เหมือนเสียงโทรเข้าทุกๆชั่วโมง ทำเหมือนกับมีคนโทรเข้ามาคุยเรื่องงานเพื่อหลอกคนอื่นๆว่าตนเองมีงานทำ หนังฉายภาพที่บิดเบี้ยวเหล่านี้ต่อไปอีกเมื่อคุรุซึชวนเรียวเฮให้ไปกินข้าวที่บ้าน เพื่อหลอกครอบครัวให้คิดว่าเขามีงานทำ เรียวเฮไปกินข้าวคืนนั้น แต่เรียวเฮเองมีความรู้สึกถึงบรรยากาศที่ประดักประเดิดเหมือนเขากำลังหลอกคนที่รู้ตัวแล้ว

หนังพาเราไปรู้จักกับ "เมกูมิ" ภรรยาของเรียวเฮที่ทำหน้าที่แม่บ้านได้ไม่มีที่ติ แต่ในใจลึกๆนั้นต้องการอะไรบางสิ่งเพื่อมาชดเชยความขาดหายของชีวิต ชดเชยความเป็นตัวตนของเธอเอง ฉากที่เมกูมิกำลังเดินดูรถในโชว์รูมเธอผละจากรถครอบครัวคันใหญ่ มาเดินดูรถสปอร์ตที่โฉบเฉี่ยวแทน หรือตอนที่หนีออกจากเมืองไปกับโจรที่เพิ่งรู้จักและจี้หล่อนเมื่อซักครู่ เมกูมิได้ปฏิเสธตัวตนปัจจุบันและแสวงหาตัวตนใหม่ราวกับบอกกับคนดูว่าชีวิตมีอยู่สองด้าน หนึ่งคือด้านที่เราเป็น และด้านที่เราอยากจะเป็น อยู่ที่เราจะกล้าพอที่จะเลือกชีวิตของตัวเองได้หรือไม่, หรือจะมีชีวิตแบบเดียวกับเมกูมิ

"เคนจิ" ลูกชายคนเล็กที่กำลังมองเห็นความล่มสลายของครอบครัวต่อหน้า จึงหลบจากครอบครัวที่มึนตึงไปเรียนเปียนโนกับครูที่กำลังจะหย่ากับสามี เก็บเอาเปียนโนเสียจากกองขยะเข้าไปซ้อมในห้อง เปียนโนเป็นสิ่งเดียวที่เคนจิรู้จัก ต่างจากครอบครัวที่นับวันจะผิดปกติมากขึ้น

"ทาคาชิ" ลูกชายคนโตที่ตัดสินใจสมัครเข้ากองกำลังนานาชาติของอเมริกาที่จะส่งไปประจำที่อัฟกานิสถานในสงครามต่อต้านการก่อการร้าย ที่ท้ายสุดบอกเป็นนัยว่าการทำเรื่องโง่ๆ และไร้สาระมันทำให้ชีวิตและประเทศหนึ่งย่อยยับได้

ผลงานจากการกำกับจากผู้กำกับ Kiyoshi Kurosawa ที่เคยทำแนวผีหลอนๆอย่าง Kairo (ผีอินเตอร์เนต) หันมาจับแนวชีวิตรันทด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเรื่องการหลอกหลอนให้ผู้ชมรู้สึกโหวงเหวง คิดย้อน และรู้สึกสมเพชตัวเองไม่ต่างกับตัวละครในหนัง

หนังที่ตีแผ่สังคมญี่ปุ่นในปัจจุบันที่ล้มเหลวเพราะปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาครอบครัวที่สามารถกล่าวได้ว่า ปัญหาเงินๆทองๆเป็นเพียงตัวเร่งปฏิกิริยาให้กับความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่นก่อนหน้าให้พังทะลายลงมาเป็นเสี่ยงๆ รวมถึงความเป็นปัจเจกที่ผลักดันให้แต่ละคนค่อยๆก้าวออกจากกรอบสมมติที่ตัวเองเป็นคนขีดไว้

เรื่องนี้ถือเป็นงานชิ้นเอกของแนวชิวิตครอบครัว ที่ผู้ปกครองควรหามาดูและพิจารณาตัวเองและคนข้างๆว่า กำลังหลงทางเดินไปสู่กับดักที่ช่วยกันสร้างขึ้นมาเองหรือไม่?

Man Bites Dog - ไอ้ชาติหมา



ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาบรรยายหนังที่ชื่อเรื่องว่า คนกัดหมา (Man Bites Dog) หรืออีกชื่อคือ มันเกิดขึ้นแล้วใกล้บ้านคุณ (It Happened in Your Neighborhood) เพราะหนังไม่ได้บอกอะไรไปมากกว่าชีวิตประจำวันที่แสนวิปริตผิดมนุษย์ของนายเบน ที่วันๆไม่ค่อยได้ทำอะไร เอาแต่ฆ่าคนอื่นเล่นไปวันๆ ตัวหนังเองทำเป็นสารคดีฟิล์มขาวดำ ถ่ายทอดความรุนแรงแบบสุดกู่ หาต้นสายปลายเหตุไม่ได้ ฉะนั้นจะหาอะไรนอกจากความตายในหนังเรื่องนี้ยากยิ่ง

เบนนำนักถ่ายสารคดีสามคนที่ติดตามชีวิตของฆาตกรต่อเนื่อง (ซึ่งไม่รู้ว่าไปเจอได้ยังไง) ดำดิ่งสู่โลกอีกด้านที่เต็มไปด้วยเรื่องวิกลจริต รุนแรง ท้าทายศีลธรรม และห่างไกลจากมโนสำนึกของคนปกติทั่วไป เรียกว่าใครที่ยึดถือเรื่องจริยธรรม ความเป็นมนุษย์ คงทำใจไม่ได้กับหนังเรื่องนี้

ต้นเรื่องหนังพาไปรู้จักครอบครัวของเบนที่เต็มไปด้วยความปกติเหมือนมนุษย์มนาอื่นๆ มีเรื่องเล่าว่าในฉากเป็นครอบครัวของนักแสดงจริงๆที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด รู้เพียงว่ากำลังถ่ายสารคดีธรรมดา ที่ไหนได้คนกลุ่มนี้กำลังถ่ายหนังที่เกินรับได้ของสังคม ภาพในหนังเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นของชาวบ้านทั่วไป ไม่มีภาพชวนอาเจียน คลื่นเหียน มีแต่การก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของคนอื่นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหมือนเรากำลังเดินไปทำงาน แล้วโดนลากเข้าไปยิงหัวโดยที่ไม่มีเรื่องบาดหมางหรือรู้จักกันมาก่อน แต่ฆาตกรก็เลือกยิงคุณเพราะคุณผ่านมาทางเขาคนแรก



หนังเปลี่ยนมุมมองจากผู้ถูกกระทำ มาเป็นมุมมองของกลุ่มผู้กระทำที่กำลังเล่นงานเหยื่อเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน อารมณ์ของหนังจะไปทางเดียวกับ Funny Games บีบอัดคนดูให้เบือนหน้าหนีจากภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการยิงคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หรือเข้าไปข่มขืนภรรยาคนอื่น บังคับให้สามียืนดูภรรยาตัวเองถูกย่ำยีโดยเบนและผู้ถ่ายทำสารคดี!! สุดท้ายก็ชำแหละท้องภรรยาและฆ่าทั้งคู่ทิ้งอย่างโหดเหี้ยม

คนทำสารคดีทั้งสามยากที่จะต้านทางแรงของความสด (Snuff) จึงเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของฟิล์มม้วนนี้อย่างไม่รู้ตัวราวกับเป็นคนต้นคิด (ให้ฆ่า) หรือสนับสนุนเบนให้ทำระยำต่อไป เหตุการณ์ในหนังมิใช่เรื่องไกลตัวเราเลย การอยู่ในเหตุการณ์ใดซ้ำๆย่อมตกเป็นเหยื่อของผู้ชักจูง ดังเช่นเมื่อช่างบันทึกเสียงถูกยิงตาย เบนเข้ามาปลอบโยนทีมงาน เราเห็นทีมงานร้องไห้ในอ้อมกอดของเบน มันยิ่งบ่งชัดว่าความผิดความถูกไม่สามารถแยกผู้คนออกจากอารมณ์ร่วมได้ และพร้อมจะทำอะไรก็ตามที่เหนือความคาดคิด



หนังฝรั่งเศสเรื่องนี้ได้เรต NC-17 ในใบปิดมีรูปเบนยิงแล้วมีที่ดูดนมของเด็กกระเด็นขึ้นมา ขอบอกให้ทราบว่าในหนังไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่ในหนังมีฉากฆ่าเด็กและข่มขืน รวมถึงทำร้ายคนแก่ให้ตกใจจนหัวใจวายตาย

ใครอยากได้อารมณ์แบบ Funny Games ที่เหยื่อไม่อาจปกป้องตัวเองได้ และเหมือนอยู่ในเกมที่ไร้ทางออก รวมถึงไม่ขวัญอ่อน เชิญดูเรื่องนี้เถิดครับ :)

I SAW THE DEVIL - กูเห็นปีศาจ (2010)



เมื่อเรากำลังโกรธแค้นใครซักคนปีศาจจะโผล่หน้าเข้ามาเชื้อเชิญ พร้อมกับหยิบยื่นไอเดียต่างๆเพื่อไปกระทำการบางอย่างให้หลุดพ้นจากความแค้นนั้นๆ หลายคนนำไอเดียไปสานต่อ ริเริ่มโครงการล้างแค้นให้สาแก่ใจ บางคนแก้แค้นแบบเบาะๆ บางคนถึงชีวิต ผมไม่รู้ว่าหลังจากเขาลงมือแก้แค้นแล้วจะรู้สึกอย่างไร สุขสมแค่ไหนหรือยากจะแก้แค้นต่อไปอีกเรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด

ซูยอน หน่วยสืบราชการลับที่สูญเสีย จูยอน ภรรยาสุดที่รักไปกับการกระทำอันแสนจะโรคจิตของ คุงชัล ฆาตกรต่อเนื่อง ที่ทำทีเป็นจะช่วยเปลี่ยนล้อรถให้ พอจูยอนเผลอก็ทุบกระจก และใช้ท่อนเหล็กทุบหัวจูยอน ภาพทำได้ค่อนข้างรุนแรงแต่ไม่ถึงกับน่าขยะแขยงแต่อย่างใด จากนั้นคุงชัลห่อจูยอนด้วยถุงพลาสติกขนาดใหญ่ที่ทำให้น่าชวนกระอักกระอ่วนใจ คล้ายกับเรากำลังดูการกระทำฆาตกรรม โดยที่ไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งกัดเล็บหรือไม่ก็ปิดตา ผมนั่งดูคุงชัลทำการฆาตกรรมโดยการหั่นศพจูยอนโดยที่ไม่มีภาพหวาดเสียว มีเพียงเสียงสับมีด และภาพที่มืด เปียก อับชื้น มีเพียงความคิดหนึ่งที่คิดวนเวียนไปมาถึงการเอาชีวิตรอด



หลังจากนั้นไม่นานก็พบศพส่วนหูและหัวของจูยอน ภาพนั้นทำให้ซูยอนแค้นมาก ถึงกับเอ่ยปากบอกว่า

"ผมจะทำให้เขาเจ็บ 1,000 ครั้ง...ไม่, 10,000 ครั้งดีกว่า"

เรื่องที่ดำเนินไปหลังจากนี้ เป็นกระบวนการแก้แค้นที่ประเคนให้กับคุงชัลอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ ตั้งแต่รัดคอจนอ้วก ตัดเอ็นที่เท้า ทุบหัวด้วยเหล็ก ฯลฯ ทุกครั้งที่อัดจนสลบ ซูยอนจะยัดแคปซูลเข้าปากคุงชัล แคปซูลนี้เป็น GPS ติดต่อดาวเทียมให้รู้ตำแหน่งของคุงชัล เพื่อที่จะตามไปกระทืบต่อนั่นเอง

ความรุนแรงมีมาเรื่อยๆ ทั้งที่ออกมาจากฆาตกรคุงชัลและออกมาจากพระเอกจูยอน เพียงแต่ไม่มีภาพสยดสยองให้สะใจคอหนังโหดเท่านั้นแต่สำหรับคนที่ชอบการแก้แค้น ชอบเห็นคนเลวถูกกระทืบ หนังเรื่องนี้ทำให้คุณอิ่มเอมใจอย่างแน่นอน เรียกได้ว่ารอลุ้นการแก้แค้นของพระเอกเลยทีเดียวว่าจะรุนแรงมากขึ้นแค่ไหน



I saw the devil เป็นชื่อที่บอกกับคนดูว่า การตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง(กว่า) เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเพราะมันจะเหมือนการที่ปีศาจตนหนึ่งกำลังไล่ฆ่าปีศาจอีกตนหนึ่ง ซึ่งถ้าเรามองภาพนั้นดีๆเราจะรู้เลยว่ามันเป็นภาพที่น่าหดหู่แค่ไหน หลายคนยังใช้วิธีนี้เป็นทางออก ผมก็คงไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอะไรได้ แถมบางครั้งจะยุส่งไปซะอีก


สรุปแล้ว หนังเรื่องนี้มีปีศาจอยู่ 2 ตัว
ถ้าไม่นับรวมผม ที่ตบมือชอบใจอยู่อีกคน

Strangers (2004)

ปุ่มปมแห่งความขัดแย้งที่ลากระยะเวลายาวนานเกินโลกจะทำใจ นั่นคือปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มประเทศอาหรับ และประเทศอิสราเอล ความขัดแย้งบ้าบอนี้คงจะแทรกซึม และยึดใจกลางความคิดผู้คนไปแล้ว ประมาณว่าถ้าคนอิสราเอลหลงเดินผ่านหน้าบ้านคนอาหรับ อาจจะโดนปาด้วยข้าวของพร้อมรองเท้า และหากคนอาหรับเดินเข้าซอยคนอิสราเอล คนในซอยก็พร้อมต้อนรับด้วยการท้าตีท้าต่อย

หนังสั้นเรื่อง Strangers (ความยาว 7.11 นาที) สื่อถึงเรื่องความขัดแย้่งเล็กๆที่แตกแยกย่อยมาจากปัญหาระดับชาติด้วยสถานการณ์ที่คนแปลกหน้า 2 คนนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินขบวนเดียวกัน คนหนึ่งหน้าตาอาหรับขนานแท้ ตอกย้ำด้วยการนั่งอ่าน นสพ. ภาษาอาหรับอย่างสบายใจ พออีกคนหนึ่งเห็นอย่างนั้นก็เผยให้เห็นสร้อยเครื่องหมายหกแฉก (david) สัญลักษณ์แห่งประเทศอิสราเอลประหนึ่งแสดงตัวว่าอยู่คนละข้างความขัดแย้ง

การคุมเชิง มองหน้าไปมาระหว่าง 2 ฝ่ายยุติลงเมื่อมีแก๊งกล้ามใหญ่ชาวนาซีมานั่งร่วมวงด้วยเป็นฝ่ายที่ 3 ความขัดแย้งเพิ่มจาก 2 เป็น 3 อย่างปัจุบันทันด่วน และบีบคั้นจนทำให้บทสุดท้ายคลี่คลายอย่างน่าปรบมือให้

ผู้กำกับสองคน Erez Tadmor และ Guy Nattiv ได้รับหลายรางวัลจากหลายสถาบัน รวมทั้งชนะเลิศเทศกาลหนัง Sundance Film Festival อีกด้วย

ไม่มีใครมาบอกให้เราขัดแย้งได้หรอก
ตัวเราเองนั่นแหละที่กล่อมจนตัวเองเชื่อว่า
ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู

INSiDE (Short Film)

ใครกี่คนอาศัยอยู่ในสมองของเรา?

อันที่จริงสมองของคนเราไม่ได้มีขนาดใหญ่พอที่จะบรรจุอะไรไปมากกว่าความกลวงหรือเศษขี้เลื่อย แต่สมองสามารถเลือกที่บรรจุบุคลิกของใครก็ได้ที่เราอยากจะเป็น เช่นสวมบุคลิกของพี่ข้างบ้านที่ขยันทำงานจนบ้านช่องใหญ่โต หรือจำต้องสวมบุคลิกโหดๆของจ่าทหารบกเอาไว้ดูแลลูกน้องหลายๆคน

การบรรจุบุคลิกซักสองสามคนเข้าไป เอาไว้ใช้ประโยชน์หรือทำให้เรามีความสุขก็คงไม่กระไร แต่ถ้ายัดเข้าไปหลายๆคนมันจะจำไม่ไหว เคราะห์ซ้ำอาจจะเป็นโรคที่ชื่อ Multiple Personality Disorder (MPD) หรือโรคหลายบุคลิก มีคนหนึ่งเป็นโรคนี้และมีบุคลิกถึง 24 บุคลิก!! (เยอะไปไหน)

นายคนนี้ชื่อ Billy Milligan มีบุคลิกแตกต่างกันอย่างเช่น
เป็นคนอังกฤษ พูดและเขียนภาษาอารเบียได้
เป็นคนยูโกสลาเวียเก่งเรื่องคาราเต้ และเรื่องปืน
เป็นคนขี้กลัว ชอบวาดรูป
เป็นคนหูไม่ดี
เป็นคนวางแผนปล้นร้านยา (สงสัยจะปล้นทิฟฟี่)
เป็นเด็กผู้หญิงชื่อคริสตีน
เป็นเลสเบี้ยนที่ชอบทำอาหาร !!!??
ฯลฯ

แดเนียลเป็นคนหลายบุคลิกที่มีทั้งเด็กผู้หญิง หญิงสาว อันธพาล คนทำงานออฟฟิส หรือกระทั่งคนเพี้ยน หลังจากถูกพาตัวมาพบนักจิตวิทยาหญิง ก็เกิดสำแดงอาการติ๊สแตก (ไม่ใช่ตุ๊ดแตก) นักจิตวิทยาหญิงจำต้องแก้ไขสถานการณ์ที่ตัวตนทั้งหลายกำลังแหกปากอยู่ใต้กระโหลกของแดเนียลให้สงบลงให้จงได้

ผลงานสุดเนี้ยบเรื่องนี้กำกับและร่วมเขียนบทโดย Trevor Sands ที่คว้าสองราวัลหนังสั้น Festival Award, Golden Gate Award เมื่อปี 2002 ด้วยทุนสร้างมโหฬารกว่า $5,000 (150,000 บาท)
หนังก็สั้น เงินก็น้อย แต่ก็ทำออกมาได้ดีชนิดอายแทนผู้กำกับหลายคนในบ้านเรา


ชั่วโมงนี้มีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังสวมบุคลิกของผู้ชายคนหนึ่ง
ไม่แน่ใจว่าจะทำไปเพื่อประโยชน์อะไร แต่ที่แน่ๆ

ไม่เป็นประโยชน์กับผมแน่นอน

Still Life (2005)



เวลาง่วงๆ บางคนมักจะกระชากสติกลับมาด้วยวิธีดันคาเฟอีนขึ้นสู่สมอง
ที่ฮอตฮิตคงไม่พ้นดื่มกาแฟที่ข้นขมคลั่กสักถ้วยสองถ้วย
แต่หากสติยังดึงดันจะขอนอนให้ได้ อาจจะต้องพึ่งเครื่องดื่มชูกำลัง
อาทิ กระทิงแดง คาราบาวแดง หรือนั่งดูคลิปเสื้อแดงให้เกิดฉุนเฉียวจนตาสว่าง
แต่หากอัดของเหล่านี้มากเกินไป ไม่แน่อาจจะพบเจอประสบการณ์หลุดโลก
ดังในหนังสั้นหลอนลึกที่มีชื่อสั้นๆว่า Still Life

หนังสั้น 8.48 นาทีเรื่องนี้กำกับโดย Jon Knautz ผู้กำกับชาวแคนนาดา
ที่เล่าถึงเรื่องของ Nathan Evans ชายชอบง่วงคนหนึ่ง ที่กำลังขับรถไปไหนไม่ทราบได้
แต่ Nathan ขับไปหลับนกไป จึงต้องโด้บของแก้ง่วงทั้งกาแฟทั้งยา ดันหนังตาไม่ให้หล่นมาชิดกัน

Nathan ขับรถเข้าไปยังเมืองหนึ่งที่ดูเงียบงันจนน่าสงสัย
ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งนิ่งราวหุ่นอยู่ที่ม้านั่ง มันแปลกจน Nathan ต้องเหลียวกลับไปมอง

ในจังหวะ(ซวย)นั้นเอง
Nathan ขับรถชนอะไรบางอย่างเข้า พอลงรถมาดู Nathan ถึงกับใบ้กิน
สิ่งที่เขาชนผสมทับ มันเป็นแค่ หุ่น ตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาเผ่นเข้าไปในร้านอาหารเพื่อหาพยานยืนยันว่าสิ่งที่เขาชนคือ หุ่น จริงๆ
ไม่ใช่ใครมาเล่นอำ Just Kidding แอบกล้องอยู่หลังพุ่มไม้
แต่คงไม่ใช่เรื่องอำ ทุกคนในนั้นเป็นหุ่นทั้งหมด
รวมถึงทุกคนในเมืองนั้นด้วย



Funny Games - เกมวิปริต (1997)



หลังจากดูหนังเรื่อง Funny Games จบ คาดว่าอาจจะต้องไปหาหนังของ มิคาเอล ฮาเนเก้มาดูอีก ไม่ใช่เพราะติดใจเรื่องความโหดของแนวหนังของแก แต่ชอบที่แกไม่ปราณีปราศรัยคนดู แบบที่หนังทั่วไปทำกัน หนังแบบปราณีปราศรัย ประมาณว่า ท้ายเรื่องตัวโกงสำนึกผิด กลับใจมาช่วยนางเอกจนตัวเองต้องตาย พระเอกนางเอกได้แต่งงานกันตอบจบ คนดูเดินยิ้มกริ่มออกจากโรงพร้อมกับความสุขสันต์ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามคอนเซ็ป

แต่ขอโทษ Funny Games ไม่ปราณีคุณอย่างนั้น

Funny Games หนัง Austria กำกับโดย มิคาเอล ฮาเนเก้ ที่บรรเลงเพลงชั่วร้ายตลอดความยาว 108 นาที เปิดเรื่องด้วยเพลงคลาสิคกับครอบครัวที่แสนอบอุ่นพ่อแม่ลูกที่กำลังเดินทางไปพักผ่อนในที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม ความปกติสงบเงียบลงด้วยทำนองเพลงเดทเมทอลชนิดบ่าคลั่งที่สะกิดใจคนดูถึงเรื่องเหี้ยๆกำลังจะเกิดขึ้นอย่างแน่แท้

หนุ่มหน้าตาซื่อๆคนหนึ่งชื่อปีเตอร์เข้ามาขอยืมไข่ไก่กับแอนนาภรรยาของจอร์จ ความไม่ปกติที่แอนนาสังเกตได้พร้อมกับคนดูคือ การกวนตีนอย่างใสซื่อ ขอไข่ไปสองครั้งทำตกแตกหมด แถมยังขอใหม่อีกหน้าเฉย

"ผมเห็นคุณยังมีไข่อีกตั้งโหล ไม่ใช่หรือ?"

แอนนาให้ไข่ไปอีกเพื่อให้จบๆกันไปเพราะแอนนา (รวมถึงคนดู) เริ่มทนกับพฤติกรรมไม่ไหว แต่ดูเหมือนจะสายไป พอลเพื่อนของปีเตอร์เข้ามาอยู่ในบ้านแล้ว (อ้างว่าหลบหมา)สงครามประสาทและการปะทะคารมเริ่มขึ้น จนบานปลายไปเมื่อจอห์จสามีเข้ามาระงับเหตุ ความกวนตีนของพอลทำให้จอร์จบันดาลโทสะตบหน้าพอล! หลังจากตรงนี้ผู้กำกับก็ลากครอบครัวที่แสนดีและคนดูลงนรกอย่างสาหัสสากัน



เหมือนจะมีประเด็นเรื่องความเหลื่อมล้ำเจือจางพอสังเกตุเห็นได้ในเรื่อง เช่นกลุ่มคนรวยกลุ่มหนึ่งที่มีกระตังค์พอที่จะมีเรือส่วนตัว และพาครอบครัวมาพักผ่อนกับบ้านส่วนตัว (อีกหลัง) ในวันหยุด ภาพความมั่งคั่ง และลักษณะผู้ดีจรดปลายเท้าบางครั้งสะกิดคนดูบางกลุ่มให้หมั่นไส้ พอมีสองเด็กเปรตที่อ้างว่าเป็นลูกคนรวยเหมือนกันมาทำมหกรรมชั่วๆกับครอบครัวนี้ จึงรู้สึกสาแก่ใจ และนั่งดูกิจกรรมฆ่าต่อไปอย่างอยากรู้อยากเห็น เมื่อคนดูสุขสมอารมณ์หมาย ได้เห็นความทารุณพอแล้วและต้องการให้หนังจบตามครรลอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น หนังตอบโต้และเอาคืนคนดูด้วยการขี้โกงอย่างหัวร่อ และทำให้นรกยังอยู่ในใจคนดูแม้หนังจะจบไปแล้วก็ตาม

คนที่ไม่ชอบหนังกดดัน ใจไม่แข็ง ไม่สมควรดู เพราะเสื่อมจิตพอสมควร ถึงแม้จะไม่เห็นการทำร้ายหรือไม่มีการฆาตกรรมกันอย่างโจ่งแจ้ง แต่อารมณ์หนังและความสามารถแบบจิตๆของมิคาเอล ฮาเนเก้ พาเราให้หายใจไม่ทั่วท้อง และกระอักกระอ่วนใจได้อย่างดี

ที่ว่าดูหนังเรื่องนี้ เหมือนอยู่ในนรกเกือบสองชั่วไมง...ก็คงไม่เกินนี้นัก

The Red Balloon (Le Ballon rouge)




หนังสั้นความยาว 34 นาทีจากเมืองน้ำหอมฝรั่งเศส
กำกับโดย Albert Lamorisse สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2499 (ปีที่แม่ผมเกิดพอดี)

เรื่องนี้แทบไม่มีบทพูดเลย (มีแต่เสียงเด็กเย้วๆ) แถมยังมีความยาวเพียงแค่ 34 นาที
แต่ขอโทษ คว้ารางวัล Oscar สาขาบทภาพยนต์ยอดเยี่ยมปี 1956 มาครอง
เอาชนะหนัง 2 ชั่วโมงที่มีบทพูดกันทั้งเรื่องได้อย่างน่าทึ่ง

เล่าสั้นๆว่า เด็กชายชื่อ Pascal ไปเจอลูกโป่งสีแดงตอนไปโรงเรียนโดยบังเอิญ
ก็เลยถือลูกโป่งติดตัวไปทุกที่จนเกิดเรื่องราวต่างๆขึ้นมากมาย

อารมณ์ของเรื่องจะออกแนวแฟนตาซี น่ารัก และเต็มไปด้วยมุขดีๆ ที่ผู้กำกับจับใส่เข้าไป
ที่เจ๋งก็คือ การแสดงของลูกโป่งสีแดง แสดงได้ดีอย่างกับคนจริงๆ
ทั้งที่เทคโนโลยีทางภาพยนต์ในปี พ.ศ. 2499 ยังไม่ดีมากนัก
แต่ก็ทำให้ลูกโป่งธรรมดาๆ แสดงได้อย่างไม่น่าเชื่อ (แสดงดีกว่าดาราหลายคน)

สิ่งธรรมดาที่คุณไม่เคยสนใจ ไม่ให้ความสำคัญ
ถ้าลองได้ทำความรู้จัก ให้ความผูกพัน
สิ่งธรรมดานั้นจะเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งในชีวิตคุณ


http://video.google.com/videoplay?docid=8080999735593908602

เกร็ดเล็กน้อย : ผู้กำกับ Albert Lamorisse นำลูกชายของตัวเองมาแสดงเป็น Pascal ชื่อจริง Pascal Lamorisse