Pages

Friday, September 30, 2011

The White Ribbon หลังประตูมีเรื่องลับ



เด็กๆเปรียบเสมือนผ้าใบสีขาว รอที่ใครต่อใครเข้ามาแต่งแต้มเติมสี เด็กๆจะเติบโตขึ้นเป็นใครอย่างไรขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ปกครองสถานเดียว เราๆ (เหล่าผู้ใหญ่) ไม่อาจปฏิเสธความจริงข้อนี้ได้ และสมควรดูแลประคับประคองเหล่าเด็กๆของพวกเรา ให้เขาพัฒนาขึ้นมาทัดเทียมหรือนำหน้าพวกเราไป หากเหล่าเด็กๆกลายเป็นเกกมะเหรก หรือไปก่อเรื่องร้ายแรงเข้า เหล่าผู้ใหญ่สมควรต้องออกไปยืนต่อหน้าเหล่าลูกขุน ยืดอกรับโทษทัณฑ์แต่เพียงถ่ายเดียว

The White Ribbon หนังขาวดำภาพสวยผลงานกำกับของมิคาเอล ฮาเนเก้ ผู้ที่เคยสร้างความหวาดหวั่นจากเรื่อง Hidden (2005) หรือความกดดันแบบนรกแตกจาก Funny Games (1997) หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์ และคว้ารางวัลสูงสุด Palme d'Or จากเทศกาลหนังเมืองคานส์ปี 2009 และอีกหลายๆรางวัลอาทิ European Film Award, Golden Globe แน่นอนหนังของมิคาเอล ฮาเนเก้คงไม่มาทำหนังเด็กน่ารักน่าชังแบบแฟนฉัน หรือรักวัยเด็กแบบสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารัก แล้วถ้ามิคาเอล ฮาเนเก้จะทำหนังเด็กสักเรื่อง มันจะออกมาในรูปแบบไหน



หมู่บ้านหนึ่งทางตอนเหนือของเยอรมันยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชาวบ้านอยู่กันมาอย่างสงบสุขมาช้านานด้วยแบบแผนอนุรักษ์นิยม ไม่ค่อยประสบอาชญากรรม ลักวิ่งชิงปล้น เรียกได้ว่าที่นี่เป็นชนบทแสนสุขในอุดมคติก็ว่าได้ จนวันหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เรื่องที่ว่าคือมีคนคิดพิเรนท์เอาเส้นลวดมาขึงระหว่างต้นไม้ หมอประจำหมู่บ้านอับโชคขี่ม้าเล่นผ่านเข้ามาจึงโดนลวดเหนี่ยวอย่างจัง กระดูกไหปลาร้าทิ่มออกมาดูโลกภายนอก ส่วนม้าที่ขี่มาตายอนาถ

ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนทำ ทำไปทำไม แล้วจะทำแบบนี้อีกไหม แน่นอนทั้งหมู่บ้านตกอยู่ในความกลัว ลือกันไปต่างๆนานา เคราะห์กรรมคงกำลังซัดสาดเข้าที่หมู่บ้านนี้เป็นแน่ เกิดมีคนตายเพิ่มขึ้นมาอีก คราวนี้เป็นผู้หญิงวัยกลางคนเสียชีวิตจากการผลัดตกจากที่สูงในโรงสี หลายคนคิดว่าเป็นเรื่องของอุบัติเหตุ ซ้ำร้ายในวันฉลองการเก็บเกี่ยวมีเหตุที่ใครก็ไม่รู้มาทำลายแปลงกระหล่ำของบารอนเจ้าของที่ดิน มีคนเห็นลูกชายของหญิงกลางคนที่ตายแถวๆนั้น ตกดึกลูกชายคนเดียวของบารอนหายไปอีก ทุกคนออกกันตามหาแต่ไม่ก็เจอ สุดท้ายมาเจออยู่ที่โรงสีของบารอนที่มีสภาพถูกเฆี่ยนตีที่ก้นอย่างหนักและจับห้อยหัวโดยใครก็ไม่รู้อีกนั่นแหละ

The White Ribbon เป็นหนังที่พูดน้อยต่อยเจ็บ อมพะนำความลับสไตล์ของฮาเนเก้ไปตลอดทั้งเรื่อง เราจะได้เห็นบางฉากที่ดูกำกวมไม่ชัดเจนโผล่มาทักทายคนดูแบบดื้อๆ ดังฉากที่เด็กคนนึงถามความหมายของความตายกับพี่สาว พอไม่พอใจคำตอบก็เกิดโมโหโทโสซะอย่างนั้น หรือตอนที่เด็กแปลกมาร์ตินอุตริไปเดินเล่นบนราวสะพาน พอครูถามว่าขึ้นไปเดินบนนั้นทำไม มาร์ตินก็บอกว่า "พระเจ้าคงรักผม ไม่งั้นก็คงฆ่าให้ตายไปแล้ว"

เรื่องลับชนิดเหลวแหลกในครอบครัวเป็นอีกเรื่องที่ีฮาเนเก้ไม่พลาดที่จะนำมาตีแผ่ เริ่มจากครอบครัวของบาทหลวงที่เข้มงวดกับลูกๆราวกับตัวเองเป็นผู้นำเผด็จการทหาร มัีกจะเล็งผลเลิศกับลูกๆของตัวเองตลอดเวลา จนอาจทำให้ลูกสาวผู้ที่เป็นความหวังสำคัญต้องประสบเคราะห์กรรมและหาทางระบายออกไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ส่วนมาร์ตินลูกชายก็ทำท่าว่าจะเป็นเด็กเก็บกดที่ดูือันตรายจนไม่น่าเฉียดใกล้



ครอบครัวของหญิงกลางคนที่ตกจากที่สูงก็ทำท่าจะว่าโอนเอนง่อนแง่น จากเหตุที่ลูกชายคนโตเกิดผูกใจเจ็บ หาผู้กระทำผิดโดยตรงไม่ได้จึงกล่าวโทษชั้นที่อยู่ถัดออกไปคือ บารอน-บารอนเนส 1 เจ้าของที่ดินในหมู่บ้านที่จ้างแม่ของเขา ลูกชายจึงสำแดงการตอบโต้โดยการไปทำลายแปลงกระหล่ำซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ของชนชั้นศักดินา นั่นนำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูกชายที่ยากที่จะประสาน

ครอบครัวของหมอประจำหมู่บ้านดูท่าจะเหลวแหลกกว่าใคร ทั้งการที่หมอมีสัมพันธ์สวาทกับหมอตำแยเพื่อนร่วมอาชีพ ที่เลี้้ยงดูลูกชายปัญญาอ่อนให้เขา ความลับเรื่องกิจกรรมเข้าจังหวะระหว่างลูกสาวกับตัวเองที่ไม่สามารถเอ่ยปากบอกใครได้ หนังเริ่มขมวดปมตอนที่หมอที่มักใช้บริการความสุขกับหมอตำแยเกิดนกเขาไม่ขันจึงว่ากล่าวหมอตำแยว่า เหตุเป็นเพราะเธอนั่นแหละที่สภาพน่าทุเรศทุรังจนทำให้นกเขาเกิดเลิกขัน สุดท้ายในห้องนั้นก็เต็มไปด้วยคำบริภาษแรงๆ คำขู่ และการแช่งให้ตาย ต่อมาลูกปัญญาอ่อนหมอก็หายตัวไป และต่อมาไปเจอในป่าพร้อมกับการถูกทำร้ายที่ดวงตาทั้งสองข้างอย่างทารุณ

หนังไม่ได้บอกโจ่งแจ้งถึงเนื้อเรื่องหรือบทสรุปสุดท้ายที่ไขข้อเฉลยว่าใครเป็นคนทำ แต่กลับให้แนวโน้มบางอย่างสะกิดใจคนดู เช่นแก๊งค์เด็กที่ชอบจับกลุ่มกันหลังหมู่บ้าน หรือเด็กหญิงคนหนึ่งในกลุ่มฝันเห็นการทำร้ายร่างกายเด็กปัญญาอ่อน บาทหลวงล่วงรู้ความลับของมาร์ตินลูกชาย เขาทำเพียงติดริบบิ้นสีขาวเพื่อแสดงว่าลูกเป็นสิ่งบริสุทธิ์สวยงาม รวมทั้งข่มขู่ครูที่กำลังสงสัยในพฤติกรรมของลูกๆของเขา



ท้ายสุดก็ไม่ได้แถลงไขอะไรไปมากกว่าฉายภาพความล้มเหลวทางจริยธรรมของมนุษย์ด้วยกัน ความสัมพันธ์ครอบครัวที่ถดถอย โทษของการเลี้ยงดูลูกแบบผิดๆ รวมถึงการเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งถือเป็นความเสื่อมโทรมทางใจของมนุษย์มากที่สุดยุคหนึ่ง และเรื่องทั้งหลายก็ละลายหายไปดั่งกระแสน้ำที่พาพัดเอาทุกสิ่งไม่ว่าจะความดีความเลวหายลับลงทะเลไปสิ้น

ราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


1. บรรดาศักดิ์ของประเทศอังกฤษ ภรรยาบอรอนคือ บารอนเนส

No comments:

Post a Comment