Pages

Wednesday, September 21, 2011

My Life in Pink (Ma vie en rose) - ชีวิตผม สีชมพู



ไม่มีใครอยากให้ลูกเกิดมาผิดเพศ ถึงแม้สังคมในสมัยนี้เปิดกว้างให้คนกลุมเพศที่สาม(หรือสี่)สามารถเงยหน้าหาแสงแห่งโอกาส สามารถหยัดยืนสู้โชคชะตาได้อย่างไม่น้อยหน้าเพศชายหรือหญิง แต่การเป็นเพศ "ปกติ" ย่อมดีกว่าถูกตราหน้าว่าเป็นกระเทยให้เป็นที่อับอายต่อเพื่อนบ้านหรือแม้แต่ครอบครัวตัวเอง

การเป็นกระเทยหรือเพศที่สามอาจเกิดจากฮอร์โมนตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา การพัฒนาสมอง หรือทางพันธุกรรม บวกรวมกับสิ่งแวดล้อมที่ฟูมฟักทำให้เกิดลักษณะที่คล้ายเพศเมียในผู้ชาย หรือกลับกันในผู้หญิง ถึงอย่างไรก็ตามเด็กที่เกิดมาเช่นนี้ย่อมต้องได้รับการดูแลมากกว่าเด็กปกติ เพื่อให้เขาหรือเธอเติบโตไปเผชิญกับโลกที่โหดร้ายกับทุกคนไม่เกี่ยงชาติพันธุ์หรือเพศสภาพ

ลุดโดวิคเป็นเด็กผู้ชายอายุเจ็ดขวบที่อยู่ในครอบครัวที่อบอุ่นมีพ่อแม่และพี่น้องอีกสามคน และสิ่งแวดล้อมที่ใครหลายคนฝันถึง แต่นั่นไม่ได้หลอมทุกสิ่งให้เป็นไปตามครรลองสังคมอุดมคติ เพราะลุดโดวิคมีท่าทีคล้ายเด็กผู้หญิง พ่อและแม่คิดของเขาคิดว่าเป็นไปตามอายุของเด็กที่มีความอยากรู้อยากเห็นจึงไม่คิดอะไรมาก จนแล้ววันหนึ่งลุดโดวิคเล่นเป็นเจ้าสาวที่กำลังเข้าพิธีแต่งงานแบบเด็กๆกับเจโรมลูกของผู้ที่เป็นเจ้านายของพ่อ เมื่อเรื่องแดงขึ้นพ่อและแม่จึงพาลุดโดวิคส่งไปหาจิตแพทย์เพื่อรักษาตัวลุดโดวิคเอง และตำแหน่งของผู้เป็นพ่อแบบกลายๆ ถึงอย่างไรก็ตามลุดโดวิคก็ไม่สามารถหนีสิ่งที่ตัวเองเป็นได้ แม้จะพยายามทำตัวเป็นผู้ชายถึงขนาดเดินจะเข้าไปจูบเด็กผู้หญิง แต่ถูกปฏิเสธเพราะเธอคิดว่าลุดโดวิคเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกัน

การพยายามทำเรื่องเซอร์ไพร์ซของลุดโดวิคในงานแสดงของโรงเรียนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เมื่อลุดโดวิคปิดประตูขังเด็กที่จะแสดงเป็นสโนไวท์ แลัวจัดการใส่ชุดสโนไวท์รอให้เจโรมซึ่งเล่นเป็นเจ้าชายเข้ามาจุมพิต โชคเล่นตลกที่ผ้าคลุมของลุดโดวิคร่วงลงกับพื้นทำให้ทุกคนถึงกับอ้าปากค้าง ด้วยสังคมแบบอนุรักษ์นิยมไม่ผิดแปลกอะไรที่จะทำให้เรื่องทำนองนี้กลายเป็นข่าวโจษจันกระจายไปทุกครัวเรือน ดั่งกรวดก้อนเล็กๆที่ทำให้เกิดคลื่นสั่นกระเพื่อมไปบนผิวน้ำอย่างแช่มช้า

ฉากที่ครอบครัวของลุดโดวิคพากันเดินออกมาจากหอประชุมโรงเรียนเป็นฉากสำคัญที่แสดงถึงพลังแห่งการตัดสินของประชาคมที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่าศาลสถิตย์ยุติธรรม ฉากชโลมด้วยสีฟ้าซีด สายตาที่เขม่น ไม่ไว้ใจของชาวเมือง โอบล้อมกลุ่มของลุดโดวิคไม่ต่างกับเหล่าผีดิบในหนังสยอง ลุดโดวิคอาจได้ทำเรื่องที่เกินรับได้ไปไกลลิบ ทั้งที่สังคมอื่นอาจมองเป็นเรื่องตลกโปกฮาของเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่งไม่ควรค่าจะเก็บมาคิดให้รกสมอง

ไม่ว่าเรื่องที่ลงมตินั้นจะเป็นเรื่องจริงหรือสำคัญผิด เหยื่อผู้ถูกเอ่ยถึงย่อมสะบักสะบอมไปด้วยข้อกล่าวหาและเรื่องน่าอับอาย คล้ายไอ้ฟัก 1 ที่ตายจากคำพิพากษาของชาวบ้าน เรื่องสุดสลดของลุดโดวิคและครอบครัวก็ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากนั้นเรื่องราวความซวยมาเยือนครอบครัวนี้อย่างไม่บันยะบันยัง แม่ของลุดโดวิคกล่าวโทษลุดโดวิคเป็นตัวซวยที่พาครอบครัวมุ่งสู่ความฉิบหาย แม้แต่พ่อก็โดนไล่ออกหลังจากทำตามคำแนะนำของย่าที่ให้ลุดโดวิคใส่กระโปรงไปงานวันเกิดเพื่อนบ้าน หรือกระทั่งทางโรงเรียนไล่ลุดโดวิคออกเพราะว่าผู้ปกครองอื่นๆเกรงว่าลูกจะไปใกล้ชิดสนิมสนมและติดเชื้ออาการตุ๊ดแต๋วเข้า

เรื่องราวดำเนินตามวิถี เลื่อนไหลไปจนถึงบทสุดท้ายที่คลี่คลาย คล้ายส่งต่อความคิดหรือคำถามสั้นๆว่า "เราจะรับได้ไหม ถ้าเกิดลูกเกิดมาผิดเพศ?" หรือ "เราจะเลี้ยงลูกคนนี้ต่อไปเช่นไร เลี้ยงให้ตรงกับเพศ หรือตรงกับที่ลูกเป็น?"

หลังสิ้นบรรทัด คุณคงยังไม่ต้องตอบคำถามเหล่านี้
เพราะสักวันคุณคงได้ตอบเมื่อวันนั้นมาถึง





1) จากนิยายเีรื่องคำพิพากษา เขียนโดย ชาติ กอบจิตติ

No comments:

Post a Comment